เกาะรูปร่างโค้งเว้าคล้ายเมล็ดถั่ว ที่ได้รับขนานนามว่า “The Dive School of the World” ศูนย์กลางการเรียนดำน้ำของโลก เพราะมีนักท่องเที่ยวทั่วโลกหลั่งไหลมาเรียนดำน้ำ กำลังจะมีงานที่เกิดขึ้นจาก “ความรัก ความตั้งใจ และความร่วมมือ” ของคนในพื้นที่ ภายใต้ชื่องาน “สปอตไลต์ เกาะเต่า”

ภายใต้ธีม “Harmony with Nature-A Sustainable Future” อยู่ร่วมกับธรรมชาติ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ระหว่างวันที่ 27-29 มิ.ย.2568 บนเป้าหมายเพื่อให้บ้านกลางทะเลแห่งนี้เติบโตอย่างสมดุล และยั่งยืนไปในระยะยาว

นางรำลึก อัศวชิน นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะเต่า เปิดเผยว่า การจัดงาน “Spotlight Koh Tao 2025 : ครั้งที่ 4” เพื่อยกระดับเกาะเต่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สื่อสารตัวตนของเกาะเต่าผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ และเป็นต้นแบบจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก จุดยืนของงานไม่ใช่แค่งานเทศกาล แต่คือ “เวทีของคนเกาะเต่า” ที่รวมพลังจากชุมชนเพื่อถ่ายทอดวิถีชีวิตที่เคารพธรรมชาติ และผลักดันการเปลี่ยนแปลงอย่างมีเป้าหมาย

...

“กิจกรรมและนโยบายต่างๆสะท้อนความพยายามต่อเนื่องกว่า 20 ปี ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น การจัดการน้ำเสียและขยะ การลดใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว การจัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน งดใช้โฟม หลอด ขวดแก้ว ที่มีบรรจุภัณฑ์กระป๋องทดแทน สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนและการออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การใช้ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การส่งเสริมชุมชนประมงพื้นบ้าน”

นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะเต่า กล่าวว่า ธุรกิจดำน้ำถือ เป็นหัวใจของเศรษฐกิจเกาะเต่าในแต่ละปีมีนักเรียนดำน้ำหน้าใหม่กว่า 50,000 คน และนักดำน้ำรวมกว่า 300,000 คน ที่เดินทางมาเพื่อเรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์การดำน้ำระดับโลก ทำให้มีรายได้ที่เกิดจากอุตสาหกรรมดำน้ำนี้หมุนเวียนเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี กระจายไปยังหลากหลายธุรกิจ เช่น โรงเรียนดำน้ำ ที่พัก ร้านอาหาร เรือ ร้านค้า ร้านอุปกรณ์ดำน้ำ เสื้อผ้า และแรงงานในท้องถิ่น เป็นระบบเศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงทั้งเกาะให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

“เกาะเต่าเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตนักดำน้ำและครูดำน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและติดอันดับต้นๆของโลก มีโรงเรียนดำน้ำ 67 แห่ง สร้างนักเรียนดำน้ำใหม่ เฉลี่ยปีละ 50,000 คน และผลิตครูดำน้ำได้มากกว่า 200 คนต่อปี ระบบการสอนรองรับทั้ง PADI, SSI และองค์กรดำน้ำระดับนานาชาติอื่นๆ ทำให้เกาะเต่ากลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของนักดำน้ำจากทั่วโลก”

...

สำหรับเหตุผลที่เกาะเต่าเป็น “โรงเรียนสอนนักดำน้ำของโลก” เพราะเกาะเต่ามีองค์ประกอบที่เหมาะสมต่อการเรียนดำน้ำ ได้แก่ จุดดำน้ำใกล้ฝั่ง กระแสน้ำไม่แรง การเดินทางสะดวก ค่าเรียนเหมาะสม ระบบการสอนมีคุณภาพ ครูหลากหลายภาษา ได้รับการรับรองจากองค์กรระดับสากล สิ่งแวดล้อมทางทะเลยังคงสมบูรณ์และที่สำคัญคือชุมชนมีความเข้าใจและให้ความร่วมมือกับธุรกิจดำน้ำอย่างดี ทั้งหมดนี้ทำให้เกาะเต่าได้รับการขนานนามว่า “The Dive School of the World” และได้รับการยอมรับในระดับโลก

จากสถิติของปี 2567 นักเรียนดำน้ำที่มาเกาะเต่ามาจากหลากหลายประเทศ 15 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน สหรัฐฯ อิสราเอล เนเธอร์แลนด์ ไทย ออสเตรเลีย จีน เดนมาร์ก แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน ออสเตรีย และพบแนวโน้มเติบโตจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ สำหรับนักดำน้ำชาวไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานรวมถึงผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเองสู่ระดับวิชาชีพ เช่น Divemaster หรือ Instructor

“สถานการณ์ท่องเที่ยวเกาะเต่านับว่าฟื้นตัวดีเยี่ยม ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวรวม 666,778 คน สูงกว่าก่อนโควิด ขณะที่ระหว่างเดือน ม.ค.-พ.ค.2568 มีนักท่องเที่ยวแล้ว 327,000 คน คาดว่าสิ้นปีนี้จะทะลุ 700,000 คน นับเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์เกาะเต่า”

...

น.ส.ณิชฐารัศม์ วาณิชย์เจริญ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย สำนักงานเกาะสมุย ในฐานะกำกับดูแลการส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวของเกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า เปิดเผยว่า มีจุดน่าสังเกตว่าประเทศไทยกำลังเกิดวิกฤตินักท่องเที่ยวจีน แต่ทั้ง 3 เกาะนี้ไม่ได้รับผลกระทบเลย เพราะนักท่องเที่ยวที่เข้ามาส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคยุโรป ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวรวม แบ่งเป็น เกาะสมุย 2.87 ล้านคน เกาะพะงัน 1.03 ล้านคน เกาะเต่า 600,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมากกว่าชาวไทย

“แผนส่งเสริมการท่องเที่ยวของ 3 เกาะ ได้ใช้แนวคิด “3 Islands-3 Identities” หรือสามเกาะ สามเอกลักษณ์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยจุดเด่นเฉพาะตัวของแต่ละเกาะ ประกอบด้วย เกาะเต่า Island of Purity เกาะแห่งความบริสุทธิ์ ที่ซึ่งงานที่ทำด้วยหัวใจพบกับความยั่งยืน ความสุข และการเติบโต ดำดิ่งสู่ธรรมชาติ ขณะที่เกาะพะงัน Island of Power เกาะแห่งพลัง พลังแห่งดวงจันทร์และจิตวิญญาณของชุมชนและแรงบันดาลใจ และเกาะสมุย Island of Lux-perience เกาะแห่งประสบการณ์หรูหรา ที่ซึ่งประสบการณ์แสนคุ้มค่าของคุณเริ่มต้นขึ้น”

ในปี 2567 ทั้ง 3 เกาะ มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 94,103 ล้านบาท แบ่งเป็น เกาะสมุย สูงที่สุด 68,917 ล้านบาท เกาะพะงัน 15,150 ล้านบาท และเกาะเต่า 10,036 ล้านบาท กลับเท่าใกล้เคียงกับปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่มีรายได้สูงที่สุดก่อนเกิดสถานการณ์โควิด–19 แพร่ระบาด ขณะที่ปี 2568 แนวโน้มดีกว่าปี 2567 อย่างแน่นอน.

อมรรัตน์ จรูญสมิทธิ์

ภาพถ่ายโดย : เดชบดินทร์ ลิมศุภนาค

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม

...