ตอกย้ำว่า จีนไทยใช่อื่นไกล...พี่น้องกัน “ไทยรัฐกรุ๊ป” จับมือพันธมิตรร่วมสานกระชับความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น เพื่อเฉลิมฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย–จีน

รัฐบาลไทยประกาศให้ปี 2568 เป็นปีทองแห่งมิตรภาพความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดยให้คำมั่นว่า ไทยพร้อมร่วมมือกับจีนเพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างกัน และร่วมกันแก้ปัญหาในภูมิภาค ตลอดจนสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังร่วมกันจัดงาน “สวัสดี หนีห่าว” เพื่อฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน สานต่อมิตรภาพอย่างยั่งยืนในฐานะครอบครัวเดียวกัน

...

ด้านกระทรวงต่างประเทศ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เปิดตัว “ตราสัญลักษณ์ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน” โดยใช้พญานาคและมังกร ซึ่งเป็นสัตว์มงคลในตำนานของทั้งสองประเทศมาขดคล้องกันเป็นเลข 50 เพื่อเป็นตัวแทนตามสีธงชาติของไทยและจีน โดยต่างหันหน้าเข้าหากันและมองไปยังดวงแก้วสีเหลืองทอง สื่อถึงการมุ่งสู่จุดหมายเดียวกันในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น ตามคำขวัญ “จีน–ไทยสานใจกัน ร่วมสร้างฝันประชาคม”

นับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ความสัมพันธ์ไทย-จีนก็มีความใกล้ชิดมาตลอด มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ และขยายความร่วมมือเชิงลึกในทุกมิติ การเสด็จฯ เยือนจีนของพระบรมวงศานุวงศ์ไทย ก็มีส่วนสำคัญต่อการเสริมสร้างและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งเสริมมิตรภาพและความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ

“สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” เสด็จฯเยือนจีนมากกว่า 40 ครั้งในทุกมณฑล โดยเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2562 “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเครื่องอิสริยาภรณ์รัฐมิตราภรณ์แด่ “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” เนื่องในโอกาสการฉลองครบรอบ 70 ปีแห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด ซึ่งฝ่ายจีนมอบให้ชาวต่างประเทศ ที่สร้างคุณูปการสำคัญในการส่งเสริมมิตรภาพและความร่วมมืออันดีกับจีน

ทั้งสองฝ่ายยังร่วมกันจัดงานสายสัมพันธ์สองแผ่นดิน โดย “สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี” ทรงบรรเลงเครื่องดนตรีจีนกู่เจิงด้วยพระองค์เองทุกครั้ง โดยครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และนครหางโจว เมื่อเดือนธันวาคม 2556

...

เมื่อวันที่ 17-19 พฤศจิกายน 2565 “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ได้เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเปก ครั้งที่ 29 อย่างไม่เป็นทางการ และเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีจีน ตามคำเชิญของรัฐบาล “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ทั้งสองประเทศประกาศแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกันอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น และพัฒนาอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น ให้คำว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล...พี่น้องกัน” มีความหมายแห่งยุคสมัยที่ไม่เสื่อมคลาย

โอกาสนี้ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ได้เข้าเฝ้าฯ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” และ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งถือเป็นการพบปะกันครั้งแรก โดย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ตรัสว่า พระองค์เคยเสด็จฯ เยือนจีนหลายครั้ง ได้สัมผัสกับขุนเขาสายน้ำที่สวยงาม ความมีชีวิตชีวา และมนต์เสน่ห์ ตลอดจนการพัฒนาที่ก้าวหน้าของประเทศจีนด้วยตนเอง ด้าน “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” กล่าวว่า จีนยินดีที่จะร่วมกับไทยเชิดชูไมตรีจิตอันพิเศษ “จีนไทยใช่อื่นไกล...พี่น้องกัน” อย่างต่อเนื่อง ร่วมกันสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน และเขียนบทใหม่แห่งความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ด้าน “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทรงมีรับสั่งตอบว่า ไทยยินดีกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรกับจีนให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

...

ไทยกับจีนมีความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่มีความใกล้ชิดในรอบด้าน และตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการการเคารพซึ่งกันและกัน ความไว้เนื้อเชื่อใจและการไม่แทรกแซงในกิจการภายใน โดยไทยกับจีนยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” (Comprehensive Strategic Partnership) เมื่อเดือนเมษายน 2555 เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือให้มีความใกล้ชิดและรอบด้านยิ่งขึ้น ทั้งสองประเทศมีความเชื่อมโยงทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมแนบแน่น รวมทั้งไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกันทางประวัติศาสตร์ พรมแดน หรือน่านน้ำระหว่างกัน

ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นหัวใจของความสัมพันธ์ไทย-จีน โดยความสัมพันธ์ดังกล่าวมีความเข้มข้นขึ้นจากการบังคับใช้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน เมื่อเดือนมกราคม 2553 และการยกระดับความตกลงดังกล่าวในปี 2562 ตลอดจนการเปิดใช้เส้นทาง R3A เส้นทาง R8 R9 และ R12 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของไทยกับจีนตอนใต้ ผ่านลาวและเวียดนาม การก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมไทย-ลาว-จีน และการสร้างความร่วมมือ 3 ฝ่าย ระหว่างไทย-จีน-ญี่ปุ่นในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของไทย (EEC) รวมทั้งการมีกลไกคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ระดับรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 การหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ซึ่งจีนเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 ณ กรุงปักกิ่ง และความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และวิชาการ (คกร.) ไทย-จีน ระดับรัฐมนตรี ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ณ กรุงเทพฯ

...

จีนถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย (จีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของไทย และจีนเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของไทย) ขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 13 ของจีน เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 13 ของจีน และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 17 ของจีน เมื่อปี 2562 มูลค่าการค้าทวิภาคีอยู่ที่ 79,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากปี 2561 ร้อยละ 0.90 ในจำนวนดังกล่าว ไทยส่งออกไปจีนมีมูลค่า 29,172 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 3.78 จากปี 2561 ส่วนไทยนำเข้าจากจีนมีมูลค่า 50,327 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.85 จากปี 2561 จีนได้ดุลการค้า 21,155 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.01 จากปี 2561 สินค้าสำคัญที่จีนนำเข้าจากไทย ได้แก่ ฮาร์ดไดรฟ์ ยางพารา แผงวงจรรวม ไม้ ชิ้นส่วนจอ LCD ทุเรียนสด มันสำปะหลังแห้งและแป้งมันสำปะหลัง เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ขณะที่จีนมีมูลค่าการลงทุนสะสมในไทยจนถึงปลายปี 2561 ประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจีนสนใจลงทุนในภาคธุรกิจที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภาคอุตสาหกรรมใหม่ โลจิสติกส์ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนมูลค่าการลงทุนสะสมของไทยในจีนจนถึงปลายปี 2561 มีประมาณ 4,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อุตสาหกรรมหลักที่ไทยลงทุนในจีน คืออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ธัญพืช ฟาร์มสัตว์ มอเตอร์ไซค์ โรงแรม ร้านอาหาร และการนวดแผนไทย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562 จีนมีมูลค่าการลงทุนสะสมในไทย 6,440 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่มูลค่าการลงทุนสะสมของไทยในจีนอยู่ที่ 4,330 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

รัฐบาลไทยและจีนได้ทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว เมื่อเดือนสิงหาคม 2536 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการตลาดและการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ กระนั้น รัฐบาลจีนได้อนุญาตให้ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศโดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเท่านั้น ประเทศไทยเป็นกลุ่มแรกร่วมกับสิงคโปร์และมาเลเซียที่ได้รับอนุญาตให้ชาวจีนเดินทางออกไปท่องเที่ยว และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

เนื่องจากไทยและจีนมีสัมพันธไมตรีและติดต่อค้าขายระหว่างกันมาช้านานกว่า 700 ปี ส่งผลให้วัฒนธรรมและประเพณีของจีนผสมผสานกับของไทย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยในปัจจุบัน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีคนเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้คนไทยและคนจีนมีความใกล้ชิดคุ้นเคยกันดั่งเครือญาติ จนเกิดวลีดัง “จีนไทยใช่อื่นไกล...พี่น้องกัน”

จีนไม่เพียงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย และตลาดนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของไทย แต่ยังเป็นมหามิตรที่ยั่งยืนยาวนาน การเดินทางมาร่วมประชุมผู้นำเอเปกของ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ที่ประเทศไทย เมื่อปี 2565 ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความอบอุ่นระหว่างไทย–จีน ในฐานะที่เป็นพี่น้องกันและมิตรแท้ยามยากอย่างแท้จริง.