“เราจะอยู่กับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร” นี่คือคำถามสำคัญที่เรามักถูกถามในวันที่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกสร้างความเสียหายต่อชีวิตของผู้คนบนโลกมากขึ้น แม้วันนี้ผู้คนจะตระหนักมากขึ้นแล้วว่าการคืนความสมดุลให้กับโลกเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินควบคู่ไปกับการเตรียมรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่คำถามที่ตามมาคือ เรามีความพร้อมในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน และเตรียมการรับมืออย่างไร ภาคส่วนต่างๆ รวมถึงภาครัฐพร้อมรับมือเพียงใด การเสวนาภายใต้หัวข้อ “การปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ส่วนหนึ่งจากพิธีมอบรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 23 ณ อาคารสำนักงานใหญ่ ปตท. เมื่อเร็วๆ นี้บอกว่า การขับเคลื่อนของคนตัวเล็กๆ ในชุมชนเป็นแนวทางที่มีองค์ความรู้น่าสนใจ ซึ่งหากภาคส่วนอื่นมองเห็นและนำมาปรับใช้ ผนวกกับแนวนโยบายของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นรูปธรรม ก็อาจทำให้เราสามารถรับมือกับความสูญเสียได้อย่างน้อยที่สุดในวันที่ธรรมชาติพิโรธ

ปรับตัวในวันที่โลกเปลี่ยนไป

การเสวนา หัวข้อ “การปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ นำโดย คุณกุลวดี จันทรปาน ผู้จัดการ สถาบันลูกโลกสีเขียว, ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, คุณอุมา ศรีสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงตัวแทนจากชุมชนเข้มแข็ง พ่อหลวงปรีชา ศิริ ผู้นำชุมชนห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ชุมชนที่เคยได้รับผลกระทบรุนแรงจากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในปี 2567 ที่ผ่านมา ที่แม้จะเกิดความเสียหายอย่างมาก แต่ก็ไม่มีผู้เสียชีวิต และสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังเดินหน้าวางแนวทางเพื่อรับมือ หากเกิดภัยพิบัติซ้ำขึ้นอีกในอนาคต

พ่อหลวงปรีชา ศิริ เล่าย้อนหลังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นว่า น้ำป่าไหลหลากมาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงมวลน้ำมหาศาลที่ไหลลงมาจากที่สูงสู่พื้นที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเท่านั้น แต่น้ำยังได้พัดพาเอาดินโคลน รวมถึงไม้ทั้งต้นและเศษไม้จำนวนมากมาพร้อมกัน แต่ถึงจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ทันตั้งตัว และสร้างความเสียต่อบ้านเรือน และพื้นที่ทางการเกษตรอย่างหนัก ชาวบ้านที่ชุมชนกลับปลอดภัย พ่อหลวงปรีชา เล่าว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการที่คนในชุมชนมีการติดตามข่าวอยู่เนืองๆ จึงสามารถประเมินสถานการณ์และเคลื่อนย้ายคนขึ้นที่สูงได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเมื่อน้ำผ่านไป สิ่งที่หลายภาคส่วนชื่นชมชุมชนเล็กๆ แห่งนี้คือ การฟื้นฟูสภาพพื้นที่ รวมถึงการมีแนวทางรับมือในอนาคต พ่อหลวงปรีชาให้ข้อมูลว่า หลังคุยหารือในชุมชน ก็เล็งเห็นว่าเหตุการณ์ลักษณะเดียวนี้อาจเกิดขึ้นซ้ำได้อีกหากมีฝนตกต่อเนื่องในปริมาณมาก อีกทั้งการที่ชุมชนวางตัวอยู่ในเส้นทางน้ำและอยู่ใกล้กับลำห้วย ก็จำเป็นต้องเตรียมรับมือล่วงหน้า เหตุนี้ชุมชนห้วยหินลาดในจึงได้วางแนวทางรับมือเบื้องต้นไว้ อาทิ การขุดลอกและขยายความกว้างของลำห้วยเพื่อเตรียมรับน้ำในกรณีที่ฝนตกหนักและปริมาณน้ำมีมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยป้องกันน้ำเอ่อล้นท่วมพื้นที่ทางการเกษตรในช่วงหน้าฝนได้อีกทาง

คุณกุลวดี จันทรปาน ผู้จัดการ สถาบันลูกโลกสีเขียว บอกว่า ชุมชนห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของชุมชนเข้มแข็งที่สามารถรับมือกับพิบัติได้อย่างน่าสนใจ นอกจากความสามารถของผู้นำชุมชนแล้ว อีกเหตุผลสำคัญคือ ความเข้าใจในลักษณะพื้นที่ของตนเองที่มีส่วนสำคัญทำให้คนในชุมชนสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงทีมากขึ้น รวมถึงยังสามารถประเมินสถานการณ์และระแวดระวังภัยให้ตนเองและชุมชนได้ นอกจากนี้แล้วความเข้าใจต่อภัยพิบัติรูปแบบต่างๆ จากธรรมชาติที่เกิดขึ้นยังนำไปสู่การเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรได้ด้วย ซึ่งคุณกุลวดี กล่าวว่าชุมชนจากเครือข่ายลูกโลกสีเขียว ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้เห็นแนวทางการปรับตัวหรือรับมือกับภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นเริ่มต้นมาจากชุมชน ซึ่งสถาบันลูกโลกสีเขียวพร้อมขยายผลให้มีการส่งต่อและถ่ายทอดองค์ความรู้มากขึ้น

“จากการเก็บข้อมูลของชุมชนที่อยู่เครือข่ายลูกโลกสีเขียวมาอย่างต่อเนื่องเราพบว่า รูปแบบของผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักจะมาจากปัญหาน้ำ ถ้าน้ำไม่น้อยไปจนเกิดภัยแล้ง น้ำก็มากไปจนเกิดน้ำท่วม หลายชุมชนประสบปัญหาฤดูกาลสุดขั้ว ไม่ร้อนจัด ก็หนาวจัด นอกจากนี้ยังมีเรื่องพายุ สึนามิ จนถึงประการังฟอกขาว ซึ่งผลกระทบเหล่านี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ชุมชนต่างๆ ลุกขึ้นมาลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนของตัวเอง ถือเป็นส่วนหนึ่งของการรับมือในแบบยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหลายชุมชนที่ลุกขึ้นสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านการตระหนักรู้จากภายใน ไม่ได้ลุกมาทำอะไรบางอย่างเพราะเกิดปัญหาหรือผลกระทบแล้วจึงค่อยทำ นับเป็นแนวทางที่ดีของการสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อชุมชนแบบยั่งยืนเช่นกัน”

ข้อมูลจากชุมชนในเครือข่ายลูกโลกสีเขียวยังระบุถึงตัวชี้วัดความสามารถในการรับมือของชุมชนอีกว่ามาจากปัจจัยต่างๆ อันได้แก่ ความเข้มแข็งของชุมชน การมีแผนเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ ชุมชนมีการพัฒนาอาชีพที่ยั่งยืน ทั้งยังเป็นชุมชนที่มีการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน รวมถึงมีการรับรู้และความเข้าใจ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องผลกระทบที่เกิดจากภัยพิบัติต่างๆ นำไปสู่การรวมกลุ่มอบรมและจัดเวทีเรียนรู้ในชุมชน ในขณะที่การจัดการทรัพยากร หรือแม้แต่การพัฒนาด้านอาชีพในชุมชน ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของแนวทางเพื่อการสร้างความยั่งยืน ซึ่งหลายชุมชนในเครือข่ายลูกโลกสีเขียวเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ และจะเป็นประโยชน์อย่างมากหากได้รับการขยายผลมากขึ้น

การตระหนักรู้จากชุมชนถึงหน่วยงานระดับชาติ

แม้ความเข้มแข็งของชุมชน จะมีความสำคัญต่อการรับมือกับปัญหาและภัยพิบัติที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต แต่ก็จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือและพลังหนุนจากภาคส่วนอื่นเช่นกัน โดยเฉพาะภาครัฐที่ต้องเดินหน้าไปด้วยกันแบบบูรณาการ นับตั้งแต่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย ไปจนถึงการทำงานที่เป็นรูปธรรม อาทิ การบูรณาการด้านข้อมูลที่ต้องมีเอกภาพและเท่าทันยุค จนถึงบูรณาการด้านเทคโนโลยี อันหมายรวมถึงการมีเครื่องมือต่างๆ ที่ตอบโจทย์เพื่อนำมาใช้ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติขึ้นอีกด้วย

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เน้นย้ำว่าในอนาคตพลเมืองโลกจะต้องรับมือกับปัญหาด้านต่างๆ มากขึ้น โดยปัญหาหลักที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของโลก ได้แก่ ปัญหาจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ไปจนถึงปัญหาทางด้านมลพิษ แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้เริ่มชัดเจนและทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่เพียงปัญหาจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่นำมาสู่ภัยพิบัติต่างๆ ที่บ่อยครั้งขึ้น แต่ปัญหาสำคัญอย่างปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ก็จะส่งผลต่อความเป็นอยู่และปากท้องของประชากรโลกมากยิ่งขึ้น ในขณะปัญหามลพิษก็กลายเป็นผลกระทบที่ชัดเจนต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งการรับมือกับปัญหาต่างๆ เหล่านี้ต้องอาศัยกลไกการทำงานของภาครัฐและเอกชนช่วยขับเคลื่อน ทั้งการทำงานเชิงนโยบายระดับชาติ ไปจนถึงการสร้างตระหนักรู้ในระดับชุมชน

คุณอุมา ศรีสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือกรมลดโลกร้อน ให้ข้อมูลในเรื่องว่า ประเทศไทยไม่ได้นิ่งนอนใจต่อการรับมือกับปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หลายปัญหาถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงมากขึ้น จนนำไปสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และมีแผนการดำเนินงานระดับชาติขึ้น

“ประเทศไทยเราตั้งเป้าหมายจะมีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ซึ่งมีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ อย่างในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกก็มีตั้งค่าเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจก หรือ NDC ขึ้น ทั้งนี้ในเรื่องการปรับตัว เราก็มีแผนการปรับตัวระดับชาติเป็นแผนชาติ ภายใต้แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของชาติ ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา โดยมีหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลักทำหน้าที่ ตั้งแต่เสริมการตระหนักรู้ให้กับประชาชนทุกภาคส่วน ไปจนถึงการพัฒนาข้อมูลและองค์ความรู้ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีความจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้ ซึ่งหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประกอบด้วย 6 สาขา ได้แก่ สาขาเกี่ยวกับการจัดการน้ำ สาขาความมั่นคงทางเกษตรและอาหาร สาขาการท่องเที่ยว สาขาสาธารณสุข สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสาขาการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์”

คุณอุมา ยังได้ให้ข้อมูลอีกว่า ในรายละเอียดการทำงานจะมีหน่วยงานหลักในแต่ละกระทรวงทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลักใน 6 สาขาดังกล่าวนี้ โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ทำ MOU ระหว่างกระทรวงฯ และเจ้าภาพหลักทั้ง 6 สาขา เพื่อทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน แต่ทั้งนี้หัวใจหลักในการขับเคลื่อนตามแผนชาติ คือชุมชน ดังนั้นการมีชุมชนเข้มแข็ง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง รวมถึงมีองค์ความรู้เพื่อการตั้งรับและปรับตัวที่ดี จึงเป็นเรื่องสำคัญ สอดคล้องกับสิ่งที่ ดร.วิจารย์ กล่าวว่า การจัดการโดยชุมชนและธรรมชาติมีพลังมากกว่าเราคิด


“เมื่อทำงานเรื่องโลกร้อน และการรับมือกับภัยพิบัติ เราต้องคิดระดับโลก แต่ทำงานในระดับพื้นที่หรือชุมชน อีกประเด็นที่สำคัญคือการประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน (Stakeholders) พร้อมกับเตรียมความพร้อมให้ชุมชนเข้มแข็งผ่านการมีผู้นำที่พร้อม เหมือนอย่างในกรณีห้วยลาดหิน ทุกวันนี้ยังมีแนวทางหนึ่งที่ทั่วโลกใช้แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และรับมือกับภัยพิบัติ นั่นคือการใช้ธรรมชาติเป็นฐาน หรือ Nature-Based Solutions มีตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา คือป่าชายเลนช่วยลดผลกระทบจากสึนามิได้ ขณะเดียวกันถือเป็นโครงสร้างแบบอ่อนจากธรรมชาติที่มีความยืดหยุ่น ลดการกัดเซาะได้ดี ตัวอย่างการจัดการบนพื้นที่ราบลุ่มอย่างการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นพื้นที่รับน้ำ ก็เป็นแนวทางรับมือกับปัญหาน้ำในพื้นที่ที่น่าสนใจและเกิดผลลัพธ์ เพียงแต่บางพื้นที่ก็อาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ ต้องอาศัยการถ่ายทอดองค์ความรู้มากขึ้น หลายครั้งการใช้ธรรมชาติให้ผลที่ดีกว่าการมีโครงสร้างทางวิศวกรรมแบบแข็ง ทุกวันนี้หลายประเทศเริ่มแก้ไขปัญหาแม่น้ำเซาะชายฝั่ง โดยเปลี่ยนจากโครงสร้างป้องกันแบบแข็งมาเป็นการใช้พื้นที่สีเขียว หรือธรรมชาติเข้าไปแทน การจัดการด้วย Nature-Based Solutions มีความสำคัญสำหรับวันนี้ ซึ่งทุกชุมชนในเครือข่ายลูกโลกสีเขียวเองก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้เห็นว่า การจัดการปัญหาภัยพิบัติจากธรรมชาติด้วยธรรมชาติเป็นแนวทางที่ดีและนำไปสู่ความยั่งยืน”


โดยกว่า 26 ปี นับตั้งแต่เริ่มต้น “โครงการรางวัลลูกโลกสีเขียว” จนยกระดับเป็น "สถาบันลูกโลกสีเขียว" ในปี 2553 “รางวัลลูกโลกสีเขียว” ผนึกกำลังเครือข่ายกว่า 5,000 คนทั่วประเทศ จนเกิดเป็นชุมชนเข้มแข็งทั่วทุกภูมิภาค พร้อมกับเกิดเป็นองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ มากมายจากชุมชนถึง 873 ผลงาน อันเป็นองค์ความรู้ที่หากถอดแบบความสำเร็จ และส่งต่อไปยังชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศได้ ชุมชนเข้มแข็งที่พร้อมรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกทั่วประเทศอีกมากมายเช่นกัน

ทั้งนี้ "พิธีมอบรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 23" จัดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ณ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ภายใต้แนวคิด "ปรับเปลี่ยน เรียนรู้ สู่ความยั่งยืน" เพื่อยกย่อง 16 ผลงานโดดเด่นจาก 4 ประเภท อันได้แก่ ประเภทชุมชน 6 ผลงาน ประเภทกลุ่มเยาวชน 4 ผลงาน ประเภทสิปปนนท์ เกตุทัต รางวัลแห่งความยั่งยืน 3 ผลงาน และประเภทงานเขียน 3 ผลงาน ซึ่งผู้ที่พลาดการร่วมงาน ยังสามารถรับชมย้อนหลังได้ทาง Facebook : Green globe Institute (สถาบันลูกโลกสีเขียว) หรือ YouTube : Green globe Institute