เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) บริษัทร่วมในเครือของ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ได้เปิดขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสกุลเงินบาท (Green Debentures) ครั้งที่ 1/2568 ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสกุลเงินบาทแบบมีประกัน (Guaranteed Green Debentures) ครั้งที่ 2/2568 ประเภทไม่ด้อยสิทธิ และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

สำหรับหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ เมื่อวันที่ 18, 21 และ 22 กรกฎาคม 2568 นั้น ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปชำระคืนตราสารหนี้ที่ออกในปี 2565 ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนกรกฎาคม 2568 และเป็นการเตรียมความพร้อมในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างยั่งยืน

เสถียรภาพพลังงานไฟฟ้าจากลุ่มน้ำโขง หนุนด้วยฐานรายได้มั่นคงจาก PPA

XPCL ได้รับสัมปทานจากรัฐบาล สปป.ลาว ให้ออกแบบ พัฒนา ก่อสร้าง และดำเนินการ มีกำลังผลิตติดตั้ง 1,285 เมกะวัตต์ ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตได้เกือบทั้งหมดจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งมีระยะเวลา 29 ปี นับตั้งแต่เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีรายได้ที่แน่นอนและมั่นคง อีกทั้งยังมีผู้ถือหุ้นหลักเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของไทย ได้แก่ CKPower (TRIS Rating: A-) ถือหุ้น 42.5% บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC (TRIS Rating: AA+) ถือหุ้นผ่านบริษัทย่อยที่ 25% และบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO (TRIS Rating: AA+) ถือหุ้น 12.5%

พร้อมกันนี้ XPCL ผลิตกระแสไฟฟ้าเฉลี่ยได้กว่า 7,000 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี (GWh/Year) โดยพลังงานดังกล่าวจัดเป็นพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสามารถช่วยให้ประเทศไทยหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 3.8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (tCO2e)

ในแง่ของการดำเนินธุรกิจ ผลการดำเนินงานของ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ในปี 2567 มีรายได้ 13,478 ล้านบาท มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 11,928 ล้านบาท มีทรัพย์สินรวมจำนวน 127,576 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวม (ตามข้อกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นกู้) อยู่ที่ 1.53 เท่า โดยไตรมาสที่ 1/2568 บริษัทมีรายได้รวม 2,866 ล้านบาท มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 2,515 ล้านบาท และมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวม (ตามข้อกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นกู้) ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 1.48 เท่า ซึ่งต่ำกว่าข้อกำหนดหุ้นกู้ที่ให้ดำรงอัตราส่วนดังกล่าวไม่ให้สูงเกิน 3.00 เท่า

ชูมาตรฐานสากล หนุนความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

สำหรับหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Debentures) ของ XPCL มีการจัดทำและดำเนินการตามกรอบตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond Framework) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน Green Bond Principles 2021, Green Loan Principles 2021 และ ASEAN Green Bond Standards 2018 และได้ผ่านการสอบทานโดยองค์กรรับรองมาตรฐานชั้นนำของโลก DNV ในฐานะผู้สอบทานอิสระ (Independent External Reviewer) สะท้อนถึงมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของ XPCL ได้เป็นอย่างดี ซึ่งที่ผ่านมา XPCL ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2565-2566 ที่ผ่านมา มูลค่ารวม 11,895 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามสำหรับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตสากลของหุ้นกู้รุ่นที่ 1/2568 ที่ B+/Stable และหุ้นกู้แบบมีประกันรุ่นที่ 2/2568 ที่ BBB+/Stable โดย Fitch Ratings สะท้อนถึงกระแสเงินสดที่มั่นคงซึ่งมาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมถึงโครงสร้างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ช่วยลดความเสี่ยงและต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่แข่งขันได้โดยไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิต

การออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของบริษัท ในมิติการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางพลังงานของประเทศไทย และช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกัน