ปิโตรเคมีคือรากฐานของเศรษฐกิจโลก แต่วันนี้กำลังเผชิญทั้งเศรษฐกิจผันผวน สงครามการค้า และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม งานสัมมนาประจำปี The 16th PTT Group Petrochemical Outlook Forum ที่จัดขึ้นโดยสมาชิก PRISM Petrochemical Market Outlook ของกลุ่ม ปตท. ภายใต้หัวข้อ “The Survival of the Petrochemical Industry Amid Economic Changes and Sustainability Shifts” จึงชวนมามองอนาคต ว่า “ก้าวใหม่คือทางรอด” ของอุตสาหกรรมนี้ที่ต้องปรับตัวเพื่อให้พร้อมรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
นักวิเคราะห์ Prism Expert ได้กล่าวถึงการปรับตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทั้งหมดกำลังส่งผลต่อภาพรวมของตลาดที่นักลงทุนต้องมองภาพใหม่ให้ชัด และจับตาทุกย่างก้าวของการเปลี่ยนแปลง เพื่อเท่าทันเกมการแข่งขันของโลก
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ไม่เหมือนเดิม
นักวิเคราะห์เปรียบเทียบเอาไว้ว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกำลังผจญพายุที่โหมกระหน่ำ หนำซ้ำพายุใหญ่ระดับโลกลูกนี้ยังเป็น Perfect Storm โดยปัจจุบันมี 2 ตลาดที่ต้องจับตาอย่างมากกับภาวะชะลอตัว นั่นคือ ตลาดโอเลฟินส์ (Olefins) อันเป็นตลาดสำหรับสารประกอบอินทรีย์ที่เป็นสารตั้งต้นสำคัญในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งโอเลฟินส์สำคัญได้แก่ เอทิลีน (Ethylene) และโพรพิลีน (Propylene) โดยตลาดนี้ครอบคลุมถึงการผลิต การซื้อขาย และการประยุกต์ใช้โอเลฟินส์ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่พลาสติก เส้นใย ไปจนถึงสารเคมี ขณะที่ตลาดโพลีโอเลฟินส์ (Polyolefins) ซึ่งเป็นตลาดสำหรับพลาสติกประเภทของพลาสติกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในโลก ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายทั้งบรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ ก่อสร้าง สิ่งทอ หรือแม้แต่การแพทย์ ก็เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ปัจจัยหลักของการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เป็นผลมาจากทั้งอุปทาน (Supply) และอุปสงค์ (Demand) ที่เปลี่ยนไป
คุณลักษมณ ดีวงกิจ, Analyst บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่าปัจจัยด้านอุปทาน (Supply) เป็นผลมาจากการมีกำลังการผลิตใหม่ที่เกินความต้องการของตลาด ทั้งจากนโยบายการพึ่งพาตนเอง (Self-Sufficient) ของประเทศจีน ไปจนถึงการเร่งสร้างกำลังการผลิตใหม่ของผู้ผลิตที่เคยคาดว่าอุตสาหกรรมจะมีกำไรต่อเนื่องจากช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังเกี่ยวข้องกับทั้งกำลังการผลิตใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงกำลังการผลิตใหม่ของสหรัฐอเมริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งมีต้นทุนในการผลิตต่ำที่สุดของโลก ซึ่งนั่นนำไปสู่การคาดการณ์ด้วยว่า กำลังการผลิตใหม่จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2028 และกำลังการผลิตกว่าครึ่งหนึ่ง ยังจะมาจากประเทศจีน ส่วนปัจจัยด้านอุปสงค์ (Demand) ที่ชะลอตัวลงนั้น เป็นผลมาจากทั้งโควิด 19 ที่ผ่านมาที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายทางเปลี่ยนแปลงไป รวมจนถึงเศรษฐกิจอ่อนตัวจากภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยสูง ที่กดดันความต้องการผลิตภัณฑ์ และบริการ นอกจากนี้การฟื้นตัวหลังโควิด 19 ของประเทศจีนที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็ส่งผลชัดต่อเรื่องนี้ด้วย ขณะที่นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ก็ส่งผลให้ความต้องการเม็ดพลาสติกใหม่ลดลง แต่ทั้งนี้ได้คาดการณ์ว่า ตลาด PE และ PP ใน 5 ปีข้างหน้า จะฟื้นตัวขึ้น และเติบโตต่อปีเฉลี่ยราว +3.2% และ +3.5% ตามลำดับ โดยภูมิภาคอินเดีย และแอฟริกา จะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดของโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่มีผลอย่างมากต่อภาวการณ์นี้คือ การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการค้าโลก ตลอดจนตลาด PE และ PP ซึ่งอาจทำให้การเติบโตในปี 2025 และ 2026 ของภาคอุปสงค์ (Demand) ปรับตัวลดลงจากที่คาดการณ์ก่อนหน้า และจะส่งผลต่อราคาในอนาคตของตลาด PE และ PP ด้วย โดยกลุ่ม PRISM ปตท. คาดว่า Spread ของ HDPE Film CFR SEA เทียบกับ Naphtha MOPJ และ Spread ของ PP Yarn CFR SEA เทียบกับ Naphtha MOPJ จะไม่เปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันมากนัก เนื่องจากภาวะอุปทาน (Supply) ล้นตลาด แต่ทั้งนี้ก็จะเห็นการปรับตัวของผู้ผลิตในภาวะอุปทานล้นตลาดจากการมีต้นทุนที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะการใช้วัตถุดิบที่แข่งขันได้ เช่นการใช้อีเทน มาเป็นวัตถุดิบหลัก ในกระบวนการผลิต หรือการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ เช่น การควบรวมกำลังการผลิต และการปิดกำลังการผลิตที่มีต้นทุนสูง และการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิต เช่น Thermal Crude to Chemical (TC2C)
สำหรับการปรับตัวของ GC คุณลักษมณ ขยายความให้เห็นถึงก้าวใหม่ของการเดินผ่าน 4 มุมมอง อันได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถด้านต้นทุน จากการใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบ รายแรกของไทย, การมีกระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอย่างครบวงจร ทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ และมีสินค้าที่หลากหลาย, การขยายพอร์ตโฟลิโอไปยังผลิตภัณฑ์ High Performance Polymer, Specialty, Bio-Based, และ Recycled เพื่อรองรับเทรนด์การเติบโตในอนาคต ไปจนถึงการขาย และการตลาดที่เน้นตลาดเป็นศูนย์กลาง ที่จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ในทุกเปลี่ยนแปลง
ทางออกของธุรกิจอะโรมาติกส์ (Aromatics)
นอกจากนี้อีกธุรกิจหนึ่งที่มีผลเกี่ยวเนื่องกันในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คือธุรกิจอะโรมาติกส์ (Aromatics) ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและจำหน่ายสารประกอบอินทรีย์ที่มีโครงสร้างวงแหวนเบนซีน (Benzene Ring) อันเป็นสารตั้งต้น (Feedstock) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย โดยสารประกอบเหล่านี้ได้แก่ เบนซีน (BZ), พาราไซลีน, ออร์โธไซลีน, โทลูอีน, และมิกซ์ไซลีน ที่นำไปใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ทั้งพลาสติก เส้นใยสังเคราะห์ ยาง สารเคลือบ รวมถึงสารทำละลาย ที่ล้วนมีความสำคัญกับอุตสาหกรรม ก็กำลังปรับตัวอย่างเต็มกำลังภายใต้สถานการณ์ที่ คุณชุติภา เรืองศรีมั่น นักวิเคราะห์การพาณิชย์ จาก บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) กล่าวว่าเป็นผลมาจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ทั้งนี้ภาพรวมของตลาด Paraxylene (PX) ยังคงเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาด โดยมีสาเหตุหลักจากการผลิตส่วนเกินในประเทศจีน ที่เกิดขึ้นมากจากการตั้งเป้าหมายการถึงจุดสูงสุดของการปล่อยคาร์บอน (Carbon Peak) ภายในปี 2030 ภายใต้แผนการลดการปล่อยคาร์บอนแห่งชาติของจีน (Decarbonization Timeline) ที่ส่งผลให้จีนมีการเร่งเปิดดำเนินการของหน่วยผลิตใหม่ ทั้งจากผู้ผลิตในจีนเอง รวมถึงความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างประเทศ อย่างการร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่างซาอุดีอาระเบียและจีน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก ทั้งนี้อุปสงค์ของ PX จะยังคงเติบโตอย่างคงที่ แต่ก็ถูกกดดันจากแนวโน้มด้านความยั่งยืน อย่างเช่นการรีไซเคิล ที่จะส่งผลต่อการใช้วัตถุดิบในอุตสาหกรรมปลายน้ำ ถึงแม้จะยังคงมีสัดส่วนไม่สูงนักก็ตาม
นอกจากนี้ภาพรวมของตลาดเบนซีน (BZ) ก็ยังจะเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาดเช่นกัน โดยมีสาเหตุหลักจากกำลังการผลิตใหม่ในภูมิภาคโดยเฉพาะจากจีน ทั้งนี้การผลิตสารเบนซินหลักจะมีกระบวนการผลิตที่ได้จากโรงกลั่น โรงอะโรเมติกส์ และโรงโอเลฟินส์ ซึ่งสารเบนซินที่ผลิตได้จากโรงโอเลฟินส์อาจมีปริมาณที่มากกว่านี้ แต่เนื่องจากโรงผลิตสารโอเลฟินส์เองก็เผชิญกับผลกำไรที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน ก็ทำให้ผู้ผลิตที่มีต้นทุนสูงที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ทั้งในยุโรปและญี่ปุ่นที่เกิดการปิดตัวลง (Rationalization) หรือมีการปรับกลยุทธ์การผลิตโดยหันมาใช้วัตถุดิบที่เบากว่า อย่างก๊าซอีเทน (Ethane) และ LPG จึงทำให้มีสัดส่วนการผลิตสาร Benzene ต่ำกว่าการใช้แนฟทา (Naphtha) ส่วนในด้านอุปสงค์สาร Benzene ยังคงเติบโตอย่างคงที่ โดยมีแรงสนับสนุนจากผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ อย่างเช่น Styrene Monomer ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นปัจจัยร่วม อย่างไรก็ตาม การเติบโตของอุตสาหกรรมเหล่านี้ในจีนยังคงอ่อนแอ ส่งผลให้การเติบโตของอุปสงค์สารเบนซีน (Benzene) ถูกกดดันตามไปด้วย
สิ่งที่ต้องจับตาอย่างมากนอกจากนี้ยังเป็นเรื่องปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอะโรมาติกส์ (Aromatics) โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ สงครามการค้า (Trade War) ที่ในช่วงปี 2018 – 2019 โดยประเทศจีนได้รับผลกระทบจาก Trade War (Trump 1.0) ส่งผลต่ออุตสาหกรรมเกษตร ไฟฟ้า เทคโนโลยี และโลหะ ขณะที่ Trade War (Trump 2.0) มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น จากการมุ่งเป้าไปยังหลายประเทศทั่วโลก จึงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกษตร ไฟฟ้า เทคโนโลยี ยานยนต์ และปิโตรเคมี ขณะเดียวนโยบายอย่างนโยบายภาษีศุลกากร (Tariff Policy) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดย IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในเดือนเมษายน 2568 ว่าเติบโตที่ร้อยละ 2.8 ถึงแม้จะมีการปรับคาดการณ์ในเดือนกรกฎาคม 2568 ขึ้นมาที่ร้อยละ 3.0 แต่ก็ยังต่ำกว่าคาดการณ์ในเดือนตุลาคม 2567 ที่มีการคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.2 ก่อนมีการประกาศการใช้มาตรการทางด้านภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ นี้ อาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของสารอะโรมาติกส์ (Aromatics) และการเปลี่ยนแปลงของ Trade Flow รวมถึงส่วนต่างราคาสารอะโรมาติกส์ (Aromatics) และแนฟทา (Naphtha)
คุณชุติภา ยังกล่าวถึงการปรับตัวหลากหลายแนวทางของธุรกิจอะโรมาติกส์ (Aromatics) ว่าแนวทางอยู่รอดและเติบโตในก้าวใหม่จะเป็นทั้งการสร้างประสิทธิภาพใหม่ๆ ไปจนถึงการให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ที่มากขึ้นสู่การพัฒนานวัตกรรมในการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ทั้งการผลิตที่เป็น Specialty Products และผลิตภัณฑ์ธุรกิจที่มีคุณค่าสูง หรือ High Value Products/Business ไปจนถึงแนวทางการทำธุรกิจแบบ Business Collaboration มากขึ้น เพื่อให้สามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ผลิตจากการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงมีต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง และมีความสามารถในการขยายส่วนแบ่งในตลาดได้มากขึ้น นอกจากนี้การสำรวจตลาดใหม่ก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ โดยตลาดที่น่าสนใจอาจเป็นทั้งแอฟริกาและอินเดีย ส่วนหนึ่งเพื่อลดปัญหาอุปทานล้นตลาดในธุรกิจอะโรมาติกส์ (Aromatics) โดยทั้งสองภูมิภาคนี้ถูกคาดการณ์ว่ามีการเติบโตของ GDP ที่โดดเด่น ประชากรวัยทำงานจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในระดับสูง นับว่าเป็นโอกาสใหม่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับธุรกิจสารอะโรมาติกส์ (Aromatics) ด้วย
สำหรับไทยออยล์ กลยุทธ์ที่น่าสนใจ และเรียกได้ว่าเป็นก้าวใหม่ของการปรับตัวในด้านนี้คือ กลยุทธ์ที่เรียกว่า “3V Strategy” ผ่านความมุ่งมั่นสู่การสร้างความยั่งยืนในตลาดอะโรมาติกส์ (Aromatics) ได้แก่
1. Value Maximization (Integrated Crude to Chemicals) ต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเลียมไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products)
2. Value Enhancement (Integrated Value Chain Management) เสริมความแข็งแกร่งในประเทศ ขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในอนาคต รวมทั้งยังจะช่วยตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น
3. Value Diversification ลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีมูลค่าสูง (High Value Business) เช่น ธุรกิจ Disinfectant & Surfactant และธุรกิจ New S-Curve อื่นๆ ให้สอดคล้องต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก
ทิศทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโลก
สำหรับสถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีปัจจุบันเรียกได้ว่าอยู่ในจุดที่ไม่สมดุล อันเนื่องมาจากปริมาณอุปทาน (Supply) ที่เกิดใหม่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ความต้องการใช้หรืออุปสงค์ (Demand) กลับเกิดการชะลอตัวลงต่อเนื่อง คุณเดชาธร ฐิสิฐสกร, Marketing Strategy and Analyst บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) กล่าวถึงสิ่งที่ต้องจับตาอีกเรื่องในวันนี้คือ การชะลอตัวลงของอุปสงค์ (Demand) อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเกิดจากปัจจัยกดดันของสภาวการณ์โลก นับตั้งแต่ปี 2020 กับเหตุการณ์การระบาดของเชื้อ Covid-19 เกี่ยวเนื่องถึงปี 2021 ที่ส่งผลต่อการปรับตัวของค่าขนส่งทั่วโลก ไปจนถึงสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงปี 2023 - 2024 ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ของโลกที่เกิดขึ้นต่อเนื่องได้นำมาสู่เหตุการณ์ปี 2025 ที่โลกของเรากำลังเจอสงครามทั้ง 3 รูปแบบได้แก่ สงครามเทคโนโลยี สงครามการค้า และสงครามภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลต่อการย้ายฐานการผลิต Supply Chain ที่เปลี่ยนไป รวมถึงเกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจระดับโลก และสร้างความผันผวนของราคาพลังงาน อันเป็นปัจจัยกดดันต่ออุปสงค์ (Demand) การเติบโตของปิโตรเคมี ทว่าอีกด้านหนึ่งปริมาณของอุปทาน (Supply) กลับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 และคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า (ช่วงระหว่างปี 2025 – 2030) จะมีกำลังการผลิตของ PE และ PP รวมกันมาถึง 70 ล้านตัน โดยกำลังการผลิตส่วนใหญ่ที่ขึ้นใหม่นี้จะมาจากประเทศผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 ภูมิภาค ได้แก่ สหรัฐอเมริกา กลุ่มตะวันออกกลาง และจีน ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันของปิโตรเคมีที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ยังพบว่า การแข่งขันของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกำลังถูกยกระดับจากการแข่งขันในระดับภูมิภาค เป็นการแข่งขันระดับเวทีโลก และประเทศไทยก็กำลังจะต้องแข่งขันกับผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ที่เตรียมก้าวเข้ามาแข่งขันในตลาดเอเชียเช่นกัน ขณะเดียวกันการที่สหรัฐอเมริกามีทรัพยากร Shale Gas ในปริมาณมหาศาล และสามารถที่จะสกัดสารตั้งต้น (Feedstock) ซึ่งเป็นวัตถุดิบการผลิตปิโตรเคมีอย่างอีเทน (Ethane) ได้ในราคาที่ต้นทุนถูกกว่าประเทศอื่น สหรัฐฯ ก็จะดำเนินการขยายกำลังการผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ตั้งแต่ช่วงปี 2021 เป็นต้นมาได้เริ่มขยายปริมาณการส่งออกสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2024 สหรัฐฯ ส่งออกผลิตภัณฑ์ Polyethylene เพิ่มสูงถึง 14 ล้านตัน นอกจากนี้การที่ปริมาณการส่งออกสู่ภูมิภาคต่างๆ อาทิ กลุ่มประเทศแถบเอเชีย ที่มีปริมาณการส่งออกในทิศทางที่เพิ่มสูงขึ้นก็สะท้อนให้เห็นถึงการที่สหรัฐฯ เริ่มปรับยุทธศาสตร์ตลาดปิโตรเคมีบุกมาที่เอเชียต่อจากนี้ ยกตัวอย่าง กลุ่มประเทศตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่กำลังขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกในช่วงระหว่างปี 2025 – 2027 ทั้งนี้กลุ่มผู้ผลิตตะวันออกกลางมีขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งทางด้านทรัพยากรและ Scale กำลังการผลิต จึงจัดได้ว่าเป็นกลุ่มผู้ผลิตที่มีความสามารถในการแข่งขันอยู่ในลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโลก โดยมุมมองของกลุ่มผู้ผลิตตะวันออกกลางได้เล็งเห็นว่าประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียยังมีกำลังและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยถึง 4% ต่อปี (GDP Growth) และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเอเชียกับตะวันออกกลางที่ผ่านมา จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กลุ่มประเทศตะวันออกกลางหันมาเพิ่มปริมาณการค้าในโซนเอเชียเพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์มองว่า ประเทศที่ต้องจับตาอย่างมากคือจีน ที่แต่เดิมเป็นผู้นำเข้าปิโตรเคมีสำหรับการผลิตของอุตสาหกรรมในประเทศ แต่หลังจากสงครามการค้ากับสหรัฐรอบที่ 1 ในปี 2019 ส่งผลให้ประเทศจีนได้พิจารณาถึงความสำคัญของการเติบโตเศรษฐกิจจากภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงการมีวัตถุดิบตั้งต้นตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ครบวงจรภายในประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 14 และเพื่อเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของจีน ต่อแผนการ Made in China 2025 หรือ China Standard 2035 ซึ่งถูกยกระดับขึ้นมา โดยจีนตั้งเป้าหมายที่จะเป็นโรงงานผู้ผลิตสำหรับโลก รวมถึงบรรลุยุทธศาสตร์ One Belt One Road แต่จีนจะยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้หากปราศจากวัตถุดิบอย่างอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้นน้ำที่สำคัญ เหตุนี้จีนจึงเร่งขยายกำลังการผลิตปิโตรเคมีขึ้นมาอย่างมหาศาลเพื่อรองรับอุตสาหกรรมภายในประเทศ และจะมี Surplus ส่วนเกินที่จะส่งออกมายังตลาดโลกเช่นกัน
จากสถานการณ์ของโลกปิโตรเคมีที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ ได้นำไปสู่ความท้าทายและการแข่งขันที่ดุเดือดต่อจากนี้ด้วย ซึ่งคุณเดชาธรมองว่าจะส่งผลต่อการแข่งขันทางด้านสารตั้งต้น (Feedstock) ที่ผู้ผลิตแต่ละโรงจะต้องสรรหาและปรับตัวไปใช้สารตั้งต้น (Feedstock) ที่หลากหลายเพื่อสร้างความได้เปรียบต่อต้นทุนการผลิต และด้วยสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องนี้ก็มีผลต่อราคาต้นทุนของสารตั้งต้น (Feedstock) ที่เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน และผู้ผลิตที่สามารถปรับตัวใช้สารตั้งต้น (Feedstock) ได้หลากหลายจะสามารถเสริมความได้เปรียบต่อการแข่งขันได้ดีกว่า ทั้งนี้สถานการณ์และทิศทางกระแส Deglobalization ที่เกิดขึ้นระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของ Global Shift Value Chain หรือ Supply Chain ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งจะกระทบถึง Trade Flow ของการแข่งขันปิโตรเคมีจากประเทศต่างๆ ที่ไหลเพิ่มเข้ามาสู่ตลาดเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ทว่าปริมาณการแข่งขันที่มาจากต่างประเทศรวมถึงการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ ทั้งในด้านของกลไกราคา และสัดส่วนตลาดที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากต่างประเทศตามไปด้วย
ทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุดในเรื่องนี้จึงได้แก่ การปรับตัวที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้องวางตัวให้พร้อมเสมอในโลกที่มีการแข่งขันสูงขึ้น โดยทิศทางการปรับตัวทั้งสามแนวทางที่สำคัญ ซึ่งคุณเดชาธรมองเห็นได้แก่ การสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า High Value Added ในการแข่งขัน, การจัดสรรและบริหาร Feedstock เพื่อสร้างความได้เปรียบเพิ่มด้านการผลิต และการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต Operation Excellence อันจะเป็นแนวทางสำคัญที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้องปรับตัวต่อการแข่งขันในบริบทโลกใหม่ เนื่องจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นรากฐานสำคัญของประเทศไทย การพัฒนาเศรษฐกิจหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต S-Curve หรือแม้แต่การดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ ซึ่งคงเกิดขึ้นไม่ได้ หากประเทศไทยปราศจากอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญของตนเอง
ทั้งนี้มีการคาดการณ์เอาไว้ด้วยว่า การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังปี 2028 เมื่อกำลังการผลิตส่วนเพิ่มจะเริ่มหยุดขยายส่วนเพิ่ม ในขณะที่อุปสงค์ (Demand) จะถูกกระตุ้นขึ้นอย่างมหาศาลจากเมกะโปรเจกต์ (Mega Project) ที่ประเทศต่างๆ ประกาศการปฏิวัติอุตสาหกรรม อาทิ China Standard 2035 และ Make In India ที่จะเริ่มสร้างอุปสงค์ (Demand) การผลิตครั้งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคตที่จะมาถึงด้วย
ในงานสัมมนา The 16th PTT Group Petrochemical Outlook Forum ภายใต้ “The Survival of the Petrochemical Industry Amid Economic Changes and Sustainability Shifts” นอกจากทีมนักวิเคราะห์ PRISM Expert แล้ว ยังมีวิทยากรจากองค์กรต่าง ๆ ในแวดวงปิโตรเคมีและอื่น ๆ มาร่วมสื่อสารแนวโน้มเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย และแนวทางการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ประกอบด้วย ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Global & Thailand Economic Outlook: Assessing the Influence of Tariff Policies” และคุณนภดล ศิวะบุตร รองประธานสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Extended Producer Responsibility (EPR): A Pillar of Sustainability for the Petrochemical Industry”
โดยในช่วงท้าย มีการแลกเปลี่ยนมุมมองถึงกลยุทธ์การปรับตัวของผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในเวทีเสวนา “How to Adapt to the New Era of the Petrochemical Business” โดย คุณบริบูรณ์ เสงี่ยมบุตร Vice President of Business Development บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (IVL) และคุณธงฉาน สงวนวงษ์ Head of Business Development – Commercial บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (SCGC) อีกด้วย
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกำลังเปลี่ยนโฉม และผู้เล่นที่แข็งแกร่งคือผู้ที่พร้อมปรับตัว วันนี้เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะปิโตรเคมีเกี่ยวพันกับทุกสิ่งรอบตัวเราทุกคน ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ เสื้อผ้า ไปจนถึงรถยนต์ การที่ธุรกิจเหล่านี้ “ก้าวทันโลก” ได้ จึงไม่ใช่แค่ทางรอดของอุตสาหกรรม แต่คือความมั่นคงของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ทั้งนี้ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมจากงานสัมมนา The 16th PTT Group Petrochemical Outlook Forum ย้อนหลังได้ที่ Facebook: PRISM