สังคมไทยเริ่มรู้จักมักคุ้น SLAPP หรือ Strategic Lawsuit Against Public Participation มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ซึ่ง SLAPP มีความหมายถึง “การฟ้องร้องเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดปากการมีส่วนร่วมสาธารณะ” โดยที่ส่วนใหญ่ได้ใช้กฎหมายหมิ่นประมาท หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฟ้องนักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน หรือประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็น
ลักษณะการฟ้องร้องที่เรียกว่า SLAPP มักไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้เกิดการพิสูจน์ความถูกผิดเกี่ยวกับข้อเท็จจริง แต่เป็นการฟ้องร้องเพื่อสร้าง “ภาระ” ให้ผู้ถูกฟ้อง ซึ่งภาระดังกล่าวมีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย ภาระเรื่องเวลา รวมไปถึงแรงกดดันทางจิตใจ ภาระที่ผู้ถูกฟ้องร้องต้องเจอนี้ ส่งผลให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลหวาดกลัวไม่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือหมดแรงต่อสู้ จนลดการตรวจสอบหรือวิพากษ์วิจารณ์
อย่างไรก็ตาม คดีหมิ่นประมาทที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ SLAPP ทุกกรณี ซึ่งการวินิจฉัยจำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบสำคัญ คือเจตนา (Intention) ของผู้ฟ้องร้อง และลักษณะของการแสดงออกเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ประเด็นที่มีนัยสำคัญคือ ข้อเท็จจริง (Truthfulness) หากการวิพากษ์วิจารณ์นั้นตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง แม้จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลหรือองค์กร ก็ยังถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ในทางกลับกัน หากเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ใช้ภาพหรือสื่อที่บิดเบือนจนทำให้สาธารณะเข้าใจผิด และสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือศักดิ์ศรีของบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ผู้ได้รับผลกระทบย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะดำเนินการเพื่อปกป้องสิทธิและเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง
ตัวอย่างเช่น กรณีของดาราสาวชื่อดังคนหนึ่ง ได้ฟ้องร้องผู้ที่มากล่าวหาว่าเป็น "ดาราอกตัญญู" บนโซเชียลมีเดีย การกล่าวหาดังกล่าวได้ถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ล้ำเส้นไปสู่การหมิ่นประมาท เพราะเสื่อมเสียชื่อเสียง การที่ดาราสาวชื่อดังคนดังกล่าวฟ้องร้อง จึงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า บุคคลสาธารณะก็มีสิทธิ์ปกป้องชื่อเสียงตนเองจากการถูกโจมตีด้วยข้อความที่ไม่มีที่เป็นเท็จได้
...
นอกจากนี้ในระยะหลัง สังคมไทยให้ความสนใจกรณีที่ บริษัทเอกชนรายหนึ่งได้ดำเนินคดีกับองค์กรภาคประชาสังคม จากการเผยแพร่ภาพพร้อมข้อความที่อ้างว่าเป็นฟาร์มและบ่อเลี้ยงปลาหมอคางดำ เหตุผลสำคัญของการดำเนินคดีคือ เพื่อปกป้องสิทธิ์และศักดิ์ศรี เนื่องจากบริษัทเห็นว่าภาพและข้อความดังกล่าวเป็นการนำเสนอที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง และส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กร
การดำเนินคดีของบริษัทเอกชนรายหนึ่งกับองค์กรภาคประชาสังคมดังกล่าวจึงถูกอธิบายในฐานะการใช้สิทธิทางกฎหมายขั้นพื้นฐานของผู้เสียหาย มิใช่การฟ้องเพื่อสกัดกั้นการแสดงความคิดเห็นสาธารณะเพียงอย่างเดียว โดยปัจจุบันคดีอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของพนักงานอัยการ ซึ่งผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นมีความสำคัญในฐานะบทเรียนทางสังคม เกี่ยวกับการรักษาสมดุลระหว่างสองสิทธิ ได้แก่ สิทธิในการแสดงความคิดเห็น อันได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และ สิทธิในการได้รับความคุ้มครองจากข้อมูลเท็จ ที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของบุคคลหรือนิติบุคคล
ทั้งนี้ประเด็นที่สังคมควรจับตา จึงไม่ใช่เพียงการใช้คำว่า “SLAPP” อย่างกว้างขวาง หากแต่ต้องพิจารณาลึกลงไปที่สาระของการสื่อสารเนื้อหาที่เผยแพร่ว่า มีความถูกต้องหรือไม่ รวมไปถึงการใช้ภาพและข้อมูลตรงกับความจริงหรือไม่ หรือการฟ้องร้องเกิดจากเจตนาปิดปากหรือเพื่อปกป้องสิทธิจากการถูกบิดเบือนกันแน่ จึงไม่ควรถูกเหมารวมว่าเป็นการฟ้องปิดปากในทุกกรณี