หนุ่มอุดรฯ เหนื่อยกับการใช้ชีวิต ทำงานคนเดียว ก่อเหตุลักแหวนทอง 2 สลึง อ้างอยากติดคุกไปพักผ่อน ด้านเมียอุ้มลูกน้อย 3 ขวบบุกถามถึงโรงพัก
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 11 กันยายน 2568 ร.ต.อ.ธนวัฒน์ สรวงศิริ รอง สวป.สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 มีชายทำทีเป็นลูกค้าเข้ามาซื้อแหวนทอง ลองสวมแหวนแล้วเดินหนีออกไปจากร้าน เหตุเกิดที่ร้านทองแห่งหนึ่ง ชั้น 3 ศูนย์การค้าชื่อดังใน จ.อุดรธานี เบื้องต้นพนักงานร้านทอง และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ได้ควบคุมตัวลงมารอเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า สภ.เมืองอุดรธานี ชั้น 1 หน้าศูนย์การค้า โดยกล้องวงจรปิดภายในร้านทองสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์เอาไว้ได้ทั้งหมด
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาชื่อนายเต๋า อายุ 30 ปี เบื้องต้นให้การรับสารภาพว่า ก่อเหตุลักแหวนทองจริง โดยมี น.ส.นันท์นภัส อายุ 35 ปี หัวหน้าสาขาร้านทองที่คนร้ายก่อเหตุ และนายดุ๊ก อายุ 34 ปี พนักงานขาย ร้านทองร้านแรก ที่คนร้ายพยายามก่อเหตุ ชี้ตัวยืนยันว่าเป็นคนร้ายคนเดียวกัน แต่ร้านทองร้านแรก คนร้ายได้คืนแหวนทองให้ และเข้ามาก่อเหตุร้านทองร้านที่สองจนสำเร็จ โดยอ้างกับพนักงานร้านทองทั้งสองร้านว่า อยากจะถูกจับติดคุก
นายดุ๊ก พนักงานร้านทองร้านแรก เล่าว่า คนร้ายเข้ามาขอดูแหวนทองที่ร้าน แล้วพูดว่า “หากใส่แล้วเดินออกไปเลยจะถูกจับไหม” เขาอยากถูกจับติดคุก ตอนนั้นก็งงว่าทำไมลูกค้าพูดแบบนี้ ตอนนั้นเขาลองสวมแหวนแล้ว สักพักเขาก็ถอดคืน แล้วก็เดินออกไปจากร้านทันที จนมารู้ข่าวว่าเข้าไปก่อเหตุที่ร้านทองอีกร้านใกล้กัน ตนก็เดินไปดู ก็พบว่าเป็นชายคนเดียวกัน
น.ส.นันท์นภัส หัวหน้าสาขาร้านทองที่คนร้ายก่อเหตุ เล่าว่า คนร้ายเข้ามาขอดูแหวนทองที่ร้าน เขาชี้ไปที่แหวนทองหนัก 2 สลึง ราคา 28,000 บาท ตนก็หยิบให้เขาลองสวมดู แล้วเขาก็พูดว่าถ้าพี่เดินออกไปจากร้านจะถูกจับหรือเปล่า ตนก็บอกถูกจับแน่นอน แล้วเขาก็เดินออกไป พวกตนจึงพากันช่วยวิ่งตามไปดึงตัวเขาไว้ แล้วเขาก็ถอดแหวนคืนให้ทันที ตนคิดว่าเขาจงใจจะขโมยแหวนทองไปจริงๆ แต่ที่ทำไปก็คงเป็นตามที่เขาบอก ที่ว่าอยากติดคุก เพราะที่ร้านที่วิ่งไปจับตัวเขา เขาหันมาบอกว่าช่วยเรียกตำรวจมาจับเขาที
...
ด้านนายเต๋า ผู้ก่อเหตุ เล่าว่า ตั้งใจมาก่อเหตุจริงๆ เพราะอยากติดคุก ร้านแรกที่เข้าไปมันยังไม่ใช่ จังหวะไม่ได้ ตนจึงมาก่อเหตุซ้ำร้านที่สอง ที่ตนทำไปเพราะมีปัญหาชีวิต ตนเหนื่อยกับการใช้ชีวิต น้อยใจแม่ที่ไม่ยอมยกที่ดิน 6 ไร่ให้ตน ทั้งที่ตนเป็นลูกชายคนเดียว คิดว่าแม่คงจะยกที่ดินให้กับหลานมากกว่าตน แม่บ่นให้ตนว่าทำอะไรก็ไม่สำเร็จ หาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ตนเองก็มีครอบครัวแล้ว มีภรรยา มีลูกน้อย ภรรยาก็ดี ไม่มีปัญหาอะไร ตนอยากกลับเข้าไปติดคุกอีก เพราะเคยติดมาแล้ว 1 ครั้ง อยู่ชลบุรี ข้อหาลักทรัพย์ ตอนนั้นรับแทนเพื่อน
“ตนมีหนี้สินเรื่องรถจักรยานยนต์ ประมาณ 1 หมื่นบาท ตนแค่เหนื่อยกับการใช้ชีวิต เบื่อหน่ายชีวิต น้อยใจตัวเองที่ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง จึงอยากติดคุก เพราะอยู่ข้างนอกแบบนี้ก็มีแต่ปัญหา อยากเข้าไปพักผ่อนข้างในก็เท่านั้น แต่ก็อยากขอโทษแม่และภรรยา ในสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมด ตนเป็นคนไม่ดี และยอมรับว่าเสพยาบ้าเป็นประจำ เสพวันละ 1-2 เม็ด เสพล่าสุดเมื่อ 5 วันที่แล้ว เพิ่งหันมาเสพยาได้ไม่นาน เพราะเหนื่อย ประกอบกับเวลากินเหล้าก็จะเมา ตนก็จะเสพให้หายเมา หากติดคุกจริง เมื่อพ้นโทษออกมาจะขอกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ไม่ทำแบบนี้อีก”
เบื้องต้นจากการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดนายเต๋า พบว่ามีผลเป็นบวกหรือฉี่ม่วง จึงแจ้งข้อหา “เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย” ส่วนข้อหาลักทรัพย์จะต้องรอให้ผู้เสียหายมาแจ้งความดำเนินคดีอีกครั้ง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งต่อมาพนักงานร้านทองได้นำแหวนทองของกลาง มาลงบันทึกแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ต่อหน้าพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี และขณะเดียวกัน ภรรยานายเต๋า อายุ 27 ปี ก็ได้อุ้มลูกสาว อายุ 3 ขวบ พร้อมกับย่า ได้เดินทางมาเยี่ยมนายเต๋าที่โรงพัก และสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ภรรยานายเต๋า เล่าว่า ได้ถามสามี ว่าไม่สงสารลูกสาว พ่อแม่ หรือ ทำแบบนี้ใครจะหาเลี้ยง ทำไมทำอะไรไม่คิด ซึ่งสามีสัญญาว่า จะไม่ทำแบบนี้อีก จะเลิกดื่มเหล้า เลิกเสพยาบ้าด้วย สามีบอกว่าเครียดกับปัญหาชีวิต เพราะเขาทำงานคนเดียว ที่ต้องการติดคุกเนื่องจากมีอาการหลอนว่ามีคนจะฆ่า เพิ่งมารู้ว่าสามีเสพยาบ้า เพราะที่ผ่านมาเข้าใจสามีเมาเหล้าเท่านั้น วันนี้ช่วงบ่าย ตนจะไปรับลูกสาว สามีก็บ่นขึ้นมาว่าจะไปตาย จะไปจบชีวิต จะไปปล้นทอง ตนก็บอกสามีว่าอย่าไปทำ ให้สงสารลูก เป็นบ้าหรือไง สามีก็เลยบอกว่าพูดเล่น หลังจากนั้นสามีก็ออกจากบ้านไป พอตำรวจโทรมาบอกว่าสามีไปก่อเหตุที่ร้านทอง ทำให้ตกใจทำอะไรไม่ถูก ก็อยากให้สามีสงสารคนในครอบครัว ใครจะหาเลี้ยงดูแลต่อไป
...
หลังจากสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งผู้ต้องหาไม่ได้มีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ ไม่มีเจตนาวิ่งราวทรัพย์ จะไม่เข้าข้อหาแต่อย่างใด และผู้เสียหายก็ไม่ได้ติดใจเอาความ ตำรวจจึงแจ้งเพียงข้อหาเสพยาเสพติด และทำประวัติผู้ต้องหาเอาไว้ เพื่อป้องปราบไม่ให้กลับมาก่อเหตุลักษณะนี้อีก.