"พล.ท.กนก" อดีต มทภ.2 ย้ำชัด ไม่ควรเปิดด่าน จนกว่าจะแน่ใจว่ากำลังทหารทั้งสองฝ่ายไม่เผชิญหน้ากันแล้ว แนะต้องใช้มาตรการกดดันเต็มรูปแบบ ให้ "กัมพูชา" อ่อนแอ จนหันมาเจรจาข้อตกลงให้ชัดเจน
วันที่ 12 กันยายน 2568 พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และอดีตผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นกรณีการเปิดด่านพรมแดน ไทย–กัมพูชา ว่าการเปิดด่านหรือการผ่อนปรนให้นำเข้าสินค้าในภาพรวมถือเป็น "จุดอ่อน" ของประเทศไทย เพราะหากอนุญาตให้บริษัทหนึ่งเปิด อีกหลายบริษัทก็จะขอเปิดตาม ผลลัพธ์คือไทยได้เพียงความอ่อนแอ ขณะที่กัมพูชาได้เปรียบ ทั้งรายได้และเศรษฐกิจดีขึ้นจากสินค้าที่เข้าไป
พล.ท.กนก ระบุว่า เหตุผลที่ต้องปิดด่านก็เพื่อให้กัมพูชา "อ่อนแอ" ไม่ใช่กลับไปเปิดให้เขา "เข้มแข็ง" ซึ่งสวนทางกับเป้าหมาย เพราะตามแนวชายแดนยังมีกำลังทหารกัมพูชาประชิดกับทหารไทยอยู่ต่อเนื่อง นาน 5–6 เดือน ประชาชนในพื้นที่ชายแดนก็อยู่ในภาวะหวาดระแวงว่าจะเกิดการสู้รบอีกเมื่อใด จึงควรปิดด่าน และเพิ่มมาตรการกดดัน เช่น ตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต ไม่จ่ายน้ำมัน ไม่ขายน้ำมัน ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนเคยประกาศว่าจะทำ แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นทำจริงครบทุกจุด
พล.ท.กนก ยังตั้งข้อสังเกตถึงการตกลงให้กัมพูชาถอนอาวุธว่า ต้องมองว่าอาวุธเหล่านั้นอยู่กับที่หรือเคลื่อนย้ายได้ เพราะถ้าไทยยังไม่ตัดน้ำมันอย่างสมบูรณ์ กัมพูชาก็ยังเคลื่อนย้ายอาวุธได้ตลอด หากตัดน้ำมันจริง ก็ไม่จำเป็นต้องไปเจรจาเรื่องการเคลื่อนย้ายอาวุธ เพราะไม่มีกำลังน้ำมันก็จะเคลื่อนย้ายไม่ได้
พล.ท.กนก กล่าวว่า ปัญหาที่แท้จริงของแนวชายแดน คือการที่ทหารกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทยต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2555 แม้จะมี MOU 43 และ 44 แต่กัมพูชาก็ไม่เคยสนใจ และยังสร้างสิ่งปลูกสร้าง เช่น อนุสาวรีย์ตาอม ที่ช่องอานม้า หรือ หมู่บ้านกว่า 300–400 หลังคาเรือนในเขตพิพาทได้สำเร็จ ไทยจึงจำเป็นต้องจัดระเบียบชายแดนใหม่ และใช้มาตรการเด็ดขาดให้กัมพูชาถอยลงจากพื้นที่ เพื่อเปิดทางให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนทำงานได้สะดวก
...
แม้จะมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนระดับต่างๆ GBC, JBC, RBC ครบ 1 รอบแล้ว แต่กัมพูชายังละเมิดข้อตกลงต่อเนื่อง แม้กระทั่งนายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ส่งจดหมายแสดงความยินดีกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย และพูดถึงสันติภาพ แต่ในทางปฏิบัติ กองทัพภาคที่ 2 ยังรายงานว่า ชายแดนมีการเสริมกำลังและพบทุนระเบิดเพิ่มอีก 4 ทุ่น แสดงให้เห็นว่าคำพูดกับการปฏิบัติของกัมพูชาตรงข้ามกัน ทำให้ไทยไว้ใจไม่ได้
เสนอว่าไทยจะไว้ใจได้ก็ต่อเมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้วให้ผู้นำรัฐบาลทั้งสองประเทศพูดคุย โดยมีคณะกรรมการและสักขีพยานร่วมด้วย และไทยต้องมีแผนชัดเจนว่า การประชุม GBC, JBC, RBC ที่ผ่านมาไม่มีผลจะทำอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะการปรับกองกำลังที่เผชิญหน้าต้องกำหนดระยะเวลาให้แน่นอน เพราะยิ่งนานวันทหาร และประชาชนยิ่งลำบาก โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตย
พล.ท.กนก ย้ำว่า หากจะเปิดด่านจริงต้องเปิดเมื่อแน่ใจว่ากำลังทหารทั้งสองฝ่ายไม่มีการเผชิญหน้า หรืออยู่ตรงแนวชายแดนนั้นแล้ว ให้กัมพูชาลงจากเขาก่อนจึงจะปักปันเขตแดนได้ เพราะตราบใดยังเผชิญหน้ากันอยู่ ก็ปักปันไม่ได้ รัฐบาลควรพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน และต้องมีมาตรการและสักขีพยานในการเจรจา การพูดคุยต้องอยู่ในระดับนายกรัฐมนตรีด้วยกันเท่านั้น หากตกลงแล้วอีกฝ่ายไม่ทำ ไทยก็จะมีความชอบธรรมในการผลักดันออกไป
มุมมองส่วนตัวมองว่าตอนนี้เราไม่ควรเปิดด่านเลยเด็ดขาด ประเทศไทยต้องทำให้กัมพูชาอ่อนแอ และเดินมาตรการที่ประกาศไว้ให้เป็นรูปธรรม กัมพูชาจะได้ลำบากและหันกลับมาพูดคุยกับไทย หากเป็นแบบนี้เขาก็ยังคงแข็งแรง ก็จะยิ้มหวาน ส่วนไทยก็จะอ่อนแอเพราะมองถึงแต่ผลประโยชน์ระยะสั้น ท้ายที่สุด พล.ท.กนก อยากฝากถึงรัฐบาล และ ศบ.ทก. ให้ใช้ความรู้และศักยภาพที่มีให้เกิดประโยชน์