ก่อนหน้านี้เราอาจเคยเชื่อกันว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกยังเป็นเรื่องที่ไกลตัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจยังไม่รุนแรงนักในเวลาอันใกล้ แต่ก็ดูเหมือนว่าบางสิ่งบางอย่างจะเริ่มคืบคลานเข้ามาประชิดรวดเร็วกว่าที่คิด ทั้งฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้นและอุณหภูมิความร้อนที่รุนแรงมากกว่าปกติ ลมหนาวที่แทบจะหายไปจากความทรงจำ ฤดูฝนที่คาดเดาได้ยากขึ้นทุกที ภาพของธรรมชาติที่เคยสมบูรณ์ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หากแต่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนที่ดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าโลกของเราได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วและผลกระทบนั้นใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที

นั่นจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับโลกไปจนถึงการใช้ชีวิตของผู้คนธรรมดา ต่างหันมามองที่เป้าหมายเดียวกัน และเห็นพ้องต้องกันว่าการให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่ทางเลือกที่สวยหรูอีกต่อไป แต่คือทางรอดเพื่ออนาคตของพวกเราทุกคน

และท่ามกลางความตระหนักรู้นี้ หนึ่งในองค์กรอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลกที่ลุกขึ้นมาลงมือทำอย่างจริงจัง ก็คือ “เนสท์เล่” บริษัทอาหารและเครื่องดื่มที่อยู่คู่คนไทยมายาวนาน วันนี้ เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้เผยให้เห็นภาพความคืบหน้าด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนบนแผนที่การเดินทางสู่เป้าหมายใหญ่ Net Zero 2050 หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 โดย นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายนี้ว่า

“ในฐานะบริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลก เนสท์เล่เชื่อมั่นในการมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาฟื้นฟูระบบอาหารและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่เกษตรกร ชุมชน และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพ รสชาติอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ จากแหล่งผลิตที่ยั่งยืน โดย เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้ดำเนินงานตามสองกลยุทธ์หลักที่สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว คือ ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) และ ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) ที่มุ่งสู่ Net Zero ซึ่งในปี 2025 นี้ เรามีความคืบหน้าด้านการขับเคลื่อนความยั่งยืนในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง”

เบื้องหลังวิสัยทัศน์นี้ คือแผนการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมซึ่งเนสท์เล่ ประเทศไทยได้ลงมือทำอย่างจริงจังผ่าน 4 เสาหลักสำคัญ ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในพลังสำคัญที่จะสร้างสรรค์โลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป ได้แก่ จัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน ดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ส่งต่อความยั่งยืนสู่มือผู้บริโภค กับการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืนด้วย "การเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture)"

จุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพย่อมมาจากวัตถุดิบที่ดีและแหล่งที่มาที่ยั่งยืนโดยนำหลัก "การเกษตรเชิงฟื้นฟู" (Regenerative Agriculture) มาใช้ ซึ่งไม่ใช่แค่การเพาะปลูกที่ไม่ทำร้ายโลก แต่คือการทำการเกษตรที่ช่วยฟื้นฟูและคืนชีวิตให้แก่ดินและระบบนิเวศอย่างครบวงจร

ความมุ่งมั่นนี้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมแล้ว เมล็ดกาแฟและน้ำนมดิบ 100% ที่เนสท์เล่ใช้ในวันนี้ ผ่านการรับรองมาตรฐานการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่เพียงเท่านั้น เนสท์เล่ยังได้ฝึกอบรมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไปแล้วกว่า 2,000 ราย กระจายต้นกล้าพันธุ์ดีกว่า 4.7 ล้านต้น สนับสนุนการวิเคราะห์ดินอย่างต่อเนื่องแก่เกษตรกรตั้งแต่ปี 2012 และยังส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งในสวนกาแฟซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ทางชีวภาพ พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรโคนมกว่า 160 ฟาร์มนำหลักเกษตรเชิงฟื้นฟูไปใช้ โดยเนสท์เล่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนจากการทำฟาร์มโคนมได้มากกว่า 5,000 ตันในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2018 และยังคงเดินหน้าส่งเสริมเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ ไม่เพียงอร่อยและมีคุณภาพ แต่ยังมาจากแหล่งผลิตที่ใส่ใจโลกใบนี้อย่างแท้จริง


คืนชีวิตให้สายน้ำ ดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

น้ำคือหนึ่งในทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าที่สุด และเนสท์เล่ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตน้ำดื่มรายใหญ่ ก็ตระหนักถึงความสำคัญนี้อย่างลึกซึ้ง จนกลายเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายอันท้าทายในการชดเชยน้ำกลับคืนสู่ธรรมชาติและชุมชนให้ได้ 100% ในปริมาณเทียบเท่ากับที่ใช้ในธุรกิจน้ำดื่มทั้งหมดภายในสิ้นปี 2025 นี้ ซึ่งคิดเป็นปริมาณมหาศาลกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตร

ภารกิจนี้ขับเคลื่อนผ่านโครงการ "เนสท์เล่ น้ำรักษ์น้ำ" หรือ “Nestlé Waters Cares for Water” ผ่านแนวทางหลัก 3 ด้านคือ เรียนรู้ ปกป้อง และฟื้นฟู โดยทำงานร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิดผ่านกิจกรรมที่หลากหลายและสร้างสรรค์ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่ว่าจะเป็น โครงการเยาวชนพิทักษ์สายน้ำ ที่ปลูกฝังจิตสำนึกรักสายน้ำให้คนรุ่นใหม่ โครงการตลาดนัดขยะชุมชน ที่เปลี่ยนขยะให้เป็นรายได้ โครงการเนสท์เล่รักษ์ชุมชน ผักตบชวาสู่รายได้ ที่เปลี่ยนวัชพืชให้เป็นงานฝีมือสร้างอาชีพ ไปจนถึง โครงการเนสท์เล่รักษ์น้ำ คืนปลาสู่คลองขนมจีน เพื่อฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะเดียวกัน ที่หนองทุ่งทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายฟื้นฟูแหล่งน้ำให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ความสำเร็จนี้ยังได้รับการการันตีด้วยมาตรฐานการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนระดับโลก (Alliance for Water Stewardship: AWS) ซึ่งตอกย้ำว่าทุกหยดของน้ำที่เนสท์เล่ใช้ จะถูกดูแลและส่งคืนกลับสู่ระบบนิเวศอย่างมีความรับผิดชอบ


จุดประกายความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ไม่รู้จบ

ในโลกที่ปัญหาขยะพลาสติกล้นเมือง เนสท์เล่กำลังท้าทายกรอบเดิม ๆ ด้วยการสร้างระบบนิเวศของบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน โดยมุ่งมั่นที่จะลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ (Virgin Plastic) ลง 1 ใน 3 และออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สามารถรีไซเคิลได้

เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการสร้างความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์ และได้เน้นการขับเคลื่อน 3 ด้าน ได้แก่ 1. ลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ (Virgin Plastic Reduction) 2. ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้รีไซเคิลได้ (Designed for Recycling) 3. ส่งเสริมระบบการจัดการขยะเพื่อการรีไซเคิล (System for Recycling) ผ่านการดำเนินงาน และโครงการต่าง ๆ มากมายซึ่งเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมแล้วจากขวดน้ำดื่มมิเนเร่และเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล (rPET) ไปจนถึงซองเนสกาแฟแบบ Mono Structure ที่ผลิตจากพลาสติกชนิดเดียวเพื่อให้ง่ายต่อการรีไซเคิล และเนสกาแฟกระป๋องอะลูมิเนียมที่รีไซเคิลได้ 100% ยิ่งไปกว่านั้น เนสท์เล่ยังจับมือกับพันธมิตรเพื่อส่งเสริม "ระบบการจัดการขยะ" ผ่านโครงการอย่าง "BOTTLE MADE FROM BOTTLES" จากมิเนเร่ และโครงการ "Careton กล่องนมรักษ์โลก" จากไมโล รวมถึงการเข้าร่วมเครือข่าย PRO-Thailand Network เพื่อผลักดันให้เกิดการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างครบวงจร


ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด ลดคาร์บอน 20% และเดินหน้าสู่เป้า Net Zero 2050

หัวใจสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และเนสท์เล่ ประเทศไทยได้สร้างมาตรฐานใหม่ที่น่าจับตา โรงงานทั้ง 8 แห่ง และศูนย์กระจายสินค้าทุกแห่งในประเทศไทยได้เปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% แล้ว โดยมาจากการใช้พลังงานสะอาด 2 ส่วนคือ ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งในโรงงาน และ การได้ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากการดำเนินงานในหลายมิติร่วมกันตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นจนจบ

ความสำเร็จนี้ ประกอบกับการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และการเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ด้วยรถขนส่งพลังงานไฟฟ้า (EV) ทำให้เนสท์เล่ ประเทศไทย สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แล้วถึง 20% เมื่อเทียบกับปี 2018 แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายต่อไปที่ท้าทายยิ่งกว่า คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ถึง 50% ภายในปี 2030 เพื่อปูทางสู่การเป็นองค์กร Net Zero 2050 อย่างสมบูรณ์


สานต่อความยั่งยืนให้ครบลูปผ่านแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้” หรือ “Every Little Act Matters” เป็นปีที่ 4

การเดินทางสู่ความยั่งยืนของเนสท์เล่จะสำเร็จไม่ได้เลย หากขาดการมีส่วนร่วมจากผู้บริโภค จากผลสำรวจพบว่า แม้คนไทยกว่า 91% อยากใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน แต่มีเพียง 42% ที่ลงมือทำจริงจัง ส่วนหนึ่งเพราะความรู้สึกว่าการกระทำเล็ก ๆ ของคนคนเดียวอาจไม่สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่พอ

เนสท์เล่จึงได้สานต่อแคมเปญ “Every Little Act Matters เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้” เพื่อส่งต่อความเชื่อมั่นว่า ทุกการกระทำเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตยั่งยืน การแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิล หรือการประหยัดน้ำและพลังงาน เมื่อทุกการกระทำเล็ก ๆ เหล่านี้รวมกัน จะสามารถสร้างพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน

โดยแนวคิดหลักของแคมเปญในปีนี้มาจากอินไซต์ผู้บริโภคที่พบว่าทุกคนต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่บางครั้งเรายังสงสัยว่า คน ๆ เดียว หรือการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเราจะมีความหมายหรือไม่ รวมไปถึงจากการสำรวจ Kantar’s Sustainability Sector Index 2023 พบว่า คนไทยให้ความสำคัญกับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ตามด้วยการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และการบริโภคและการผลิตอย่างรับผิดชอบ


สร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน คือคำตอบของวันนี้และวันข้างหน้า

สิ่งที่เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้ลงมือทำและนำเสนอผ่านความคืบหน้าในปี 2025 นั้น เป็นมากกว่าแค่การประกาศความสำเร็จ แต่คือการแสดงให้เห็นถึง "ความจริงจัง" และ "ความจริงใจ" ในการผสานแนวคิดเรื่องความยั่งยืนให้เป็นเนื้อเดียวกับการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่การดูแลเกษตรกร การผลิตอย่างทันสมัยและยั่งยืน ไปจนถึงการรับผิดชอบต่อบรรจุภัณฑ์ในมือของผู้บริโภค และยังไปไกลกว่านั้นด้วยการเชิญชวนทุกคนมาร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

การเดินทางสู่ Net Zero เป็นเส้นทางที่ยาวไกลและท้าทาย แต่ความมุ่งมั่นที่ชัดเจน การวางแผนงานที่เป็นรูปธรรม และการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงผ่านแนวคิด "เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้" ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเติบโตของธุรกิจและความยั่งยืนของโลก ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเลือก แต่คือสิ่งที่สามารถสร้างสรรค์และก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกันได้ เพื่อส่งต่อโลกที่ดีกว่าและคุณภาพชีวิตที่เปี่ยมสุขให้กับคนรุ่นต่อไปอย่างแท้จริง