บพข. โชว์เจ๋ง ประกาศความพร้อมเป็นตัวกลางผลักดัน และเร่งรัดงานวิจัย-นวัตกรรมไทย ก้าวสู่เชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม ตอบโจทย์ความต้องการของโลก ผนึกกำลัง 11 Accelerator Platforms 9 มหาวิทยาลัย และ 1 หน่วยงานวิจัย ร่วมลงนามบันทึกแสดงเจตจำนงทางวิชาการ (Memorandum of Intent: MOI)  


เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 66 หน่วยงานเร่งรัดงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก หรือ Deep Science and Technology Accelerators ของ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. ขันอาสาเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่โลกต้องการ หรือเทรนด์ของโลก เข้ากับความเชี่ยวชาญที่แต่ละมหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานวิจัยมีอยู่ ผ่านการบ่มเพาะจนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ โซลูชัน หรือบริการ และเข้าสู่กระบวนการเร่งขับเคลื่อนแบบก้าวกระโดด จนสามารถส่งผลงานออกสู่ตลาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน  


รศ.ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า การลงนามดังกล่าวเป็นการลงนามข้อตกลงในการทำงานร่วมกัน เพื่อลดการทำงานที่ทับซ้อน ซึ่งจะมีการแบ่งปันและเชื่อมโยงทรัพยากร เช่น โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างผลิตภัณฑ์ หรือบริการ แหล่งฝึกอบรมบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงผู้ประกอบการ ให้สามารถพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม และเทคโนโลยีเชิงลึกจนได้ผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่มีมูลค่าสูง เสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศ   


3 ปีที่ผ่านมา บพข. ภายใต้แผนงานกลุ่ม Deep Science and Tech Accelerator Platform ร่วมมือกับ 9 มหาวิทยาลัย และ 1 หน่วยงานวิจัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เกิดเป็น 11 หน่วยงานเร่งรัดงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเชิงลึก หรือ 11 Accelerator Platforms ที่สามารถนำผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมเข้าสู่ตลาดไทย และตลาดต่างประเทศได้ 

...

จากเงินสนับสนุนจากภาครัฐประมาณ 190 ล้านบาท ใน 3 ปี ผลงานที่เกิดขึ้นสามารถสร้างเทคโนโลยีเชิงลึก ทั้งนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ ทางการแพทย์และสุขภาพ เทคโนโลยีอาหารมูลค่าสูง และอุปกรณ์เทคโนโลยีดิจิทัล ไอโอที (IoT) ขั้นสูง ทำให้เกิดธุรกิจสตาร์ทอัพ มีผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่รวมทั้งมีการจดสิทธิบัตรและจดลิขสิทธิ์แล้วไม่ต่ำกว่า 100 รายการ อีกทั้งยังสามารถระดมทุนจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์และบริการเทคโนโลยีเชิงลึกจาก 11 Accelerator Platforms จะสามารถสร้างมูลค่าตลาดได้ถึงหนึ่งพันล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า

 

ล่าสุด บพข. ได้จัดให้มีพิธีลงนามบันทึกแสดงเจตจำนงทางวิชาการ (Memorandum of Intent: MOI) ร่วมกับ 11 Accelerator Platforms เพื่อต่อยอดความร่วมมือ และนำสิ่งที่เป็นองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย ไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม


สำหรับตัวอย่างความสำเร็จของการเป็น Accelerator Platforms  ภายใต้โครงการดังกล่าว นายพงศ์วราวุฑฒิ หมื่นยุทธิ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเทคโนธานี ฝ่ายบ่มเพาะธุรกิจและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ตัวแทนจาก "SUT Horizon"  แพลตฟอร์มบ่มเพาะและเร่งสร้างเติบโตนวัตกรรมเชิงลึก เปิดเผยว่า SUT Horizon มุ่งพัฒนาความเข้มแข็งของงานวิจัย และสามารถช่วยทำให้บัณฑิตนักศึกษา คณาจารย์ สามารถนำงานวิจัยเหล่านี้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในรูปแบบของดีพเทคสตาร์ทอัพ ภายใต้แพลตฟอร์ม SUT Horizon มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีการแพทย์และสุขภาพ รวมถึงด้านสมาร์ทซิตี้ และอาศัยการทำงานในรูปแบบ "Venture Co-Creation" ซึ่งเป็นความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อที่จะสามารถช่วยปั้นให้งานวิจัย หรือทีมนักศึกษา ผู้ประกอบการ ได้จัดตั้งหน่วยธุรกิจและสามารถเติบโตได้ในอนาคต นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศพัฒนาการสรรหา CEO เพื่อตอบโจทย์การเป็นดีพเทคสตาร์ทอัพ ที่นักวิจัยมักประสบปัญหาในการหาค้นหา CEO เพราะต้องมีความเข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์เชิงลึก สามารถสื่อสารทั้งกับนักวิจัย หรือเจ้าของงานวิจัยรวมถึงนักลงทุน 


"เพื่อทำให้งานวิจัยเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งในและต่างประเทศ SUT Horizon มีโปรแกรม GOT Talent ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างเยอรมนี โอมาน และไทย โดยเยอรมนีสามารถนำผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดเยอรมนีและยุโรปได้ง่ายขึ้น ส่วนโอมาน จะเป็นเหมือนเกตเวย์เข้าสู่ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ซึ่งทั้งหมดนี้ SUT Horizon ยังอยู่ภายใต้อีกหนึ่งแพลตฟอร์มก็คือ ระเบียงเศรษฐกิจเวลเนสนครราชสีมา (Wellness corridor) ที่จะทำให้งานวิจัยต่างๆ สามารถที่จะทดสอบและใช้งานได้จริงภายในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย และจังหวัดนครราชสีมา"


นอกจากนี้ Accelerator Platforms ของแต่ละหน่วยงานต่างนำเสนอผลงานและแผนงานความก้าวหน้าได้อย่างน่าสนใจ อาทิ แพลตฟอร์มเร่งการเติบโตทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล และนวัตกรรมสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง หรือ Organic Tech Accelerator platform (OTAP) จาก มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งปักหมุดที่พิษณุโลกและภาคเหนือตอนล่าง โดยตั้งใจจัดสรรเทคโนโลยีเกิดจากคนในพื้นที่ อยู่ในพื้นที่ และสร้างเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ 2 ปีที่ผ่านมามีการบ่มเพาะดีพเทคสตาร์ทอัพหลากหลายทั้งด้านไอที เครื่องมือทางวิศวกรรมและการแพทย์ วัสดุทางการแพทย์ รวมถึงเรื่องของอาหารและอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้จะมุ่งเน้นที่สมุนไพร ซึ่งเป็นจุดแข็งของมหาวิทยาลัย โดยมีระบบนิเวศนวัตกรรมที่มีความพร้อมทั้งเรื่องการปลูก โรงงานสารสกัดที่ได้มาตรฐาน การดูแลคุณภาพผลิตภัณฑ์ และมีโรงพยาบาลสำหรับทดสอบการใช้งาน ทำให้พร้อมที่จะผลักดันสมุนไพรไทยออกสู่ตลาดโลก 

...


ขณะที่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์และเร่งใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ หรือ MIDAS Center จากคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล  มุ่งเน้นด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ สามารถสร้างผลงานการผลิตชุดทดสอบทางการแพทย์ ที่ช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำและรวดเร็ว มีการผลิตแขนเทียมเพื่อการฝึกปฏิบัติการเจาะเลือดสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ โดยใช้ซิลิโคนที่ทดสอบแล้วว่าเหมือนแขนมนุษย์มากที่สุด โดยใช้วัสดุจากในประเทศ ลดการนำเข้า และมีต้นทุนต่ำกว่าตลาดถึง 10 เท่า 


ส่วน North Bangkok Robotic Accelerator (NB RAP) จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้พัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการผลักดันนวัตกรรมเชิงลึกออกสู่ตลาด และมีความร่วมมือกับภาคเอกชน นำร่องนวัตกรรมด้านหุ่นยนต์อุตสาหกรรมและระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน


ด้าน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. มุ่งเน้นการบ่มเพาะให้เกิดนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกด้านอาหาร นำแพลตฟอร์มเร่งรัดการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมอาหารที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก สามารถบ่มเพาะให้เกิดสตาร์ทอัพได้ไม่น้อยกว่า 40 บริษัท เกิดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงลึกด้านอาหาร อุปกรณ์เพื่อสุขภาพ และระบบปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะไม่ต่ำกว่า 50 ผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดสำเร็จ อาทิ เส้นไข่ขาวไร้แป้ง ไร้ไขมันเจ้าแรกของไทย เป็นต้น ศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาและบ่มเพาะวิสาหกิจ จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการพัฒนาเทคโนโลยีนำร่อง ระดับ TRL 4 ที่พร้อมต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ เช่น การพัฒนากระบวนการผลิตที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ การพัฒนาเทคโนโลยีระบุตำแหน่งและพฤติกรรมในอาคารเพื่อการดูแลผู้สูงอายุ  

...


ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถบ่มเพาะสตาร์ทอัพด้านอุปกรณ์ดิจิทัล ระบบปัญญาประดิษฐ์ด้านสุขภาพการแพทย์ได้ในหลายโครงการ อาทิ ระบบติดตามในอุตสาหกรรมปศุสัตว์โคนม ปัญญาประดิษฐ์สำหรับงานเวชระเบียน ฯลฯ รวมทั้งการบ่มเพาะสตาร์อัพทางการแพทย์ เช่น บริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม หรือ บริษัทแนบโซลูท เป็นต้น


ศูนย์เร่งการจัดการนวัตกรรม เทคโนโลยีและการวิจัย จาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนารูปแบบ Holding Company โดยมี 4 โครงการนำร่อง ได้แก่ เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบมือถือด้วยเซนเซอร์หลากหลาย ชุดตรวจภูมิแพ้อย่างรวดเร็ว ชุดตรวจสอบไนโตรฟูแรนหรือยาปฏิชีวนะยับยั้งแบคทีเรียในสัตว์น้ำ และ โดมแสงธรรมชาติป้องกันรังสีตรงเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสภาพแวดล้อมที่ดีภายในอาคาร  

อย่างไรก็ดีในปี 2565 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้เข้ามาร่วมผลักดันให้เกิดแพลตฟอร์มการเร่งรัดนวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึก ด้าน ดิจิทัล โรบอติกส์ และระบบอัจฉริยะ รวมไปถึงนวัตกรรมด้านสุขภาพ เกษตรอาหาร และระบบการผลิตระดับอุตสาหกรรมอีกด้วย 

...


รศ.ดร.ธงชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า หัวใจสำคัญของการทำงานของ บพข. คือ การพัฒนาศักยภาพของภาคเอกชนผู้ประกอบการ SME และ Startup จนถึงบริษัทขนาดใหญ่ ให้สามารถนำงานวิจัยมาต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ บพข. ไม่สามารถทำสำเร็จได้เพียงลำพังหน่วยงานเดียว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในการขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์ตามที่วางไว้ ด้วยพลังความร่วมมือของทุกหน่วยงาน ทั้งในกระทรวง อว. เอง และหน่วยงานภายนอกกระทรวง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ.