ตร.เตือนแก๊งคอลฯ ระบาดหนัก หลังพบนักศึกษา มช. ถูกหลอกกว่า 10 ราย คนเดียวสูญเงินไป 2 ล้าน แม่วอนเจ้าหน้าที่เร่งดำเนิน พบพฤติการณ์ข่มขู่เหยื่อ บางรายถูกปั่นหัวให้ถือมีดบุกเข้า สภ.

วันที่ 4 มิ.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (3 มิ.ย.) เฟซบุ๊กของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์เตือนภัยมิจฉาชีพ หลังพบว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยหลายรายตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และถูกหลอกให้โอนเงินรวมมูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท

โดยจากการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ที่สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พบว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องจริง โดยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีนักศึกษาที่ตกเป็นผู้เสียหายนับสิบราย ซึ่งรายล่าสุดเป็นนักศึกษาชายที่ถูกหลอกให้โอนเงินไปรวมทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านบาท

พันตำรวจเอกมนัสชัย อินทร์เถื่อน ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ เปิดเผยว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นช่วงวันหยุดยาว ปรากฏว่ามีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพรวม 10 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ มิจฉาชีพก่อเหตุสำเร็จ 9 ราย ทำให้เหยื่อหลงเชื่อแล้วโอนเงินให้มูลค่าความเสียหายรวมหลายล้านบาท

ทั้งนี้ 1 ราย ที่รอดพ้นการตกเป็นเหยื่อนั้น เป็นนักศึกษาผู้หญิงที่ถูกมิจฉาชีพหลอกด้วยการให้สวมหูฟังพูดคุยโทรศัพท์ และทำตามที่สั่งการให้ถือมีดมาที่สถานีตำรวจเพื่อสร้างสถานการณ์ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสังเกตเห็นความผิดปกติ และช่วยเหลือเอาไว้ได้ ส่วนผู้เสียหายรายล่าสุดเมื่อวานนี้ (3 มิ.ย. 68) เป็นนักศึกษาชายชั้นปีที่ 2 ที่ถูกหลอกให้โอนเงินไป 4 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่ก่อนหน้า มีนักศึกษาอีกรายหนึ่ง ถูกหลอกโอนเงินไปรวมกว่า 1 ล้านบาท

...

ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ บอกด้วยว่า สำหรับผู้เสียหายทั้ง 9 ราย พบว่าเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 5 ราย และอีก 4 ราย ถูกหลอกด้วยกลอุบายต่างๆ เช่น มิจฉาชีพอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ข่มขู่ว่าผู้เสียหายกระทำผิดกฎหมาย หรือ ข่มขู่ปล่อยคลิปลับแล้วให้วิดีโอคอลแล้วถอดเสื้อผ้า โดยมิจฉาชีพบันทึกภาพเอาไว้ข่มขู่ซ้ำและบังคับให้โอนเงิน หรือ หลอกว่านักศึกษาได้รับทุน แต่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ จนหลงเชื่อ ยอมโอนเงินที่ตัวเองมีให้ทั้งหมด และยังขอจากผู้ปกครองมาโอนให้เพิ่มด้วย

ซึ่งเฉพาะวานนี้ (3 มิ.ย. 68) พบว่ามีผู้เสียหายที่เป็นนักศึกษาเข้าแจ้งความพร้อมกันเป็นจำนวนมากในวันเดียว แต่ละรายเสียหายตั้งแต่หลักพันและหลักหมื่น ไปจนถึงหลักล้าน ทั้งนี้ ตัวเองเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงได้รีบทำการแจ้งไปยังทางมหาวิทยาลัย เพื่อเร่งแจ้งเตือนภัยโดยด่วน ป้องกันไม่ให้มีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้นไปอีก พร้อมเน้นย้ำทุกคนให้ระมัดระวังตัวและมีสติ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อ ส่วนเรื่องการดำเนินคดีและให้การช่วยเหลือผู้เสียหายนั้น เบื้องต้นได้รับแจ้งความพร้อมทำการอายัดบัญชีที่รับโอนเงินจากเหยื่อ พร้อมเร่งให้การช่วยเหลือในทุกด้านอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ ยังพบว่า 1 ใน 10 เคส ที่แม้ว่าจะไม่ได้เงินจากการหลอกลวงไป แต่เป็นเหมือนการเย้ยและปั่นหัวเหยื่อ และเย้ยการทำงานของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมากคือ เคสของนักศึกษาหญิงที่ถูกหลอกให้หาเงินมาโอนให้ ซึ่งนักศึกษารายนี้ก็เชื่อ และคุยกับปลายสายอยู่ตลอดช่วง 2 วัน แต่ไม่สามารถหาเงินมาโอนให้ได้ ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ปั่นหัวข่มขู่ให้ถือมีดเดินทางมาที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เจ้าของพื้นที่

โดยให้นักศึกษาคุยโทรศัพท์โดยใช้สมอลทอล์ค ใส่หูฟังไว้ที่หูตลอดเวลา และบอกให้ทำตาม อย่างเช่นถือมีดมาแล้ว เลื่อนรถเข็นคนพิการที่หน้า สภ. เดินไปมา จนสุดท้ายให้เดินถือมีดมานั่งที่หน้าโต๊ะร้อยเวร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสังเกตเห็นว่ามีการถือมีดเข้ามา และมีท่าทางพิรุธ จึงได้แกล้งพูดคุยด้วย และพยายามบอกให้น้องวางมีด แต่ก็มีการยกขึ้นมาแล้วพูดคุยกับปลายสาย จนเจ้าหน้าที่จับสังเกตได้ ว่ามีการพูดคุยทางโทรศัพท์อยู่ จึงขอให้น้องวางสายก่อน และให้วางมีดลง

เจ้าหน้าที่จึงรีบเก็บมีดออกห่างจากมือ และพูดคุยกับน้องจนทำให้รู้ตัวว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกอยู่ ซึ่งน้องก็บอกว่าเหมือนถูกสะกดจิตให้ทำต่างๆ นานา โดยไม่รู้ตัว ซึ่งทางพันตำรวจเอกมนัสชัย เผยว่าไม่ได้เป็นการสะกดจิต แต่เป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นมากดดันจนเกิดความสับสน และจูงใจให้ทำตามโดยมีคำขู่ต่างๆ นานาจึงทำให้เหยื่อหลงกลทำตาม

ทางด้านนางสาวบี (นามสมมุติ) แม่ของนักศึกษาชายที่ถูกหลอกโอนเงินไปกว่า 2 ล้านบาท เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ตอนนี้รีบมาอยู่กับลูกชาย เพราะห่วงว่าอยู่ในอาการเครียดหลังครอบครัวรู้ว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก เพราะช่วง 2 วัน ลูกชายต้องเปิดไลน์และกล้องคุยอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อ้างเป็นตำรวจไว้ตลอดเวลา ซึ่งมีการหลอกลวงลูกชายว่ามีการใช้เบอร์โทรศัพท์ของค่ายมือถือค่ายหนึ่งไปใช้ผิดกฎหมาย ต้องทำการตรวจสอบทรัพย์สินด้วยการโอนเงินไปให้ตรวจสอบให้ครบจำนวน

จึงได้ให้ลูกชายหลอกทางบ้านว่าต้องการเงินรันสเตทเมนต์ เพื่อจะไปดูงานที่ต่างประเทศ โดยมีสคริปต์และเอกสารที่ปลอมแปลงออกมาจากคณะและทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แนบมาพร้อม ก่อนที่จะส่งเรื่องให้มิจฉาชีพอีกคนที่สวมบทเป็นเจ้าหน้าที่ของทางมหาวิทยาลัยต่อสายคุยกับครอบครัว และให้ดำเนินการเรื่องของการโอนเงินเพื่อให้ลูกชายได้ไปดูงาน

ทางครอบครัวหลงเชื่อเพราะมีทั้งชื่อ เอกสารจากทางมหาวิทยาลัย ลายเซ็นอธิการบดี จึงได้โอนเงินไป 4 ครั้ง ครั้งละ 4 แสน – 6 แสนบาท รวม 1,005,000 บาท ครั้งแรกเป็นเงินโอดีที่ทางครอบครัวกู้มาค้าขาย และสองครั้งสุดท้ายเป็นเงินที่ไปกู้ยืมมาเพื่อโอนให้ครบ แต่พอโอนไปพบว่าการติดต่อต่าง ๆ ทั้งไลน์ ทั้งมือถือ ถูกตัดขาดทั้งหมด และช่วงของการดำเนินการต่าง ๆ นั้น ตนเองและลูกชายไม่สามารถติดต่อกันได้ เพราะทางฝั่งลูกชายถูกขู่ไม่ให้ติดต่อกันจนกระทั่งโอนเงินสำเร็จจึงสามารถติดต่อกันได้ จึงรู้ว่าถูกหลอกแล้ว ตอนนี้ครอบครัวนอกจากสูญเงินทั้งหมดของครอบครัวแล้วยังเป็นหนี้ที่ต้องไปยืมเงินมาเพื่อโอนไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกมากกว่า 1 ล้านบาท

...

ล่าสุดเมื่อเข้าแจ้งความกับตำรวจ ฝ่ายของพ่อนักศึกษารายนี้ได้ขอให้ญาติที่ทำงานธนาคารช่วยเช็คว่าเงินที่โอนบัญชีแรกเป็นของใคร จนทราบตัวเจ้าของบัญชี จึงนำมามอบให้ตำรวจ แต่ก็ไม่ได้ความคืบหน้าอะไร บอกให้รอตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่ตนเองโทรหาเจ้าของบัญชีต่อหน้าตำรวจ ซึ่งเจ้าตัวเจ้าของบัญชีเหมือนรับรู้แต่ก็บอกว่าจะรอหมายเรียกแล้วกัน หลังจากนั้นก็ลองตรวจสอบประวัติพบว่าเจ้าของบัญชีนั้นมีคดีเกี่ยวกับพนันออนไลน์อยู่ด้วย แถมพบว่าเงินที่โอนไป 5 แสน มีการโอนออกบัญชีทางทรูมันนี่ ครั้งละ 4-5,000 บาท จนหมดบัญชีด้วย วอนขอเจ้าหน้าที่เร่งดำเนินคดีให้เร็ว เพื่อติดตามเงินกลับมาคืน ห่วงที่สุดคือความล่าช้าของคดี