“ภูมิธรรม” ขึ้นเหนือตรวจราชการ จ.แพร่ ติดตามโครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ปะยาง แก้ปัญหาอุทกภัย-ภัยแล้ง พร้อมปล่อยปลาตะเพียนขาว 5 หมื่นตัว ขยายพันธุ์-เป็นแหล่งอาหารให้คนในพื้นที่
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ตรวจกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 16 จ.แพร่ เพื่อตรวจความพร้อมและความเหมาะสมของโครงการที่เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามอำนาจของรองนายกรัฐมนตรี
เมื่อมาถึง นายภูมิธรรม ลงพื้นที่ติดตามโครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ปะยาง บ้านแม่ขมิง ต.สรอย อ.วังชิ้น เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการบริหารจัดการน้ำและเพื่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตร และปล่อยปลาตะเพียนขาว 50,000 ตัว ลงอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ปะยาง เพื่อขยายพันธุ์สัตว์น้ำและเป็นแหล่งอาหารให้ประชาชนในพื้นที่
...
จากนั้นสำรวจโครงการซ่อมแซมฟื้นฟูเหตุจากอุทกภัย สะพานข้ามลำห้วยแม่ลาน ชุมชนบ้านใหม่ - ตลาด เชื่อมชุมชนบ้านบนนา หมู่ที่ 4 ต.บ้านปิน อ.ลอง เพื่อช่วยเหลือประชาชน จากเหตุน้ำท่วม เมื่อเดือนกันยายน 2566 ซึ่งได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถใช้เส้นทางนี้สัญจรไปมาได้ รวมถึงส่งผลกระทบต่อการลำเลียงพืชผลทางการเกษตรในพื้นที่มากกว่า 1,000 ไร่ โดย จ.แพร่ ได้เสนอของบประมาณซ่อมแซมฟื้นฟูสะพานข้ามลำห้วยแม่ลาน เมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วสามารถดำเนินการได้ทันที
สำหรับโครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ปะยาง สืบเนื่องจากปัญหาน้ำไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตร ชาวบ้านจึงเริ่มฟื้นฟูป่าชุมชน และในปี 2560 ถึงปัจจุบัน ชาวบ้านได้นำความรู้สารสนเทศน้ำที่ได้จากศูนย์บริหารจัดการน้ำ จ.แพร่ และการเข้าร่วมโรงเรียนบริหารจัดการน้ำขององค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ และร่วมเรียนรู้การบริหารจัดการน้ำชุมชน ตามแนวพระราชดำริ กับมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) มาวิเคราะห์ วางแผน DSLM แก้ปัญหาน้ำอย่างต่อเนื่อง และจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำชุมชนขึ้นมาบริหารจัดการน้ำ มีการฟื้นฟูป่าต้นน้ำในพื้นที่ 389 ไร่ และสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้น ปีละ 100 ฝาย มีสระแก้มลิงด้านล่างอีก 40 สระ ทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี กระจายน้ำทั่วถึงและใช้น้ำซ้ำ น้ำที่เหลือใช้ ปล่อยไปใช้พื้นที่ตอนล่างต่อ รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชจากพืชเชิงเดี่ยว มาทำการเกษตร ตามแนวทฤษฎีใหม่ เกิดผลผลิตที่หลากหลาย สร้างรายได้รวมทั้งชุมชนมากถึง 7.75 ล้านบาทต่อปี