ในสถานการณ์มลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในประเทศไทย รัฐบาลโดยกระทรวงกลาโหม ภายใต้การนำของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการบูรณาการแก้ไขปัญหา สนับสนุนมาตรการของรัฐบาลที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ถึงความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น และปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 กำลังส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพประชาชน รวมทั้งภาคเศรษฐกิจในประเทศไทย
รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ทั้งยกเรื่องฝุ่นถือเป็นวาระอาเซียน และมีความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมา ระหว่างปี 2567-2573 ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy)
นายภูมิธรรม เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ถือเป็นวาระสำคัญของชาติ รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันทั้งระดับชาติ ภาค และจังหวัด ในส่วนกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการหน่วยขึ้นตรง เหล่าทัพ บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับจังหวัด ฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานในพื้นที่ดูแลทุกมิติ ในพื้นที่เมือง พื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า โดยเฉพาะ 17 จังหวัดภาคเหนือ
สำหรับกองทัพบก กองทัพภาคที่ 3 มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันระดับภาค (ศอ.ปกป.ภาค) มีแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นผู้อำนวยการศูนย์ และจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า (ศอ.ปกป.3 สน.) 17 จังหวัดภาคเหนือ ปฏิบัติการตั้งแต่ 1 ธ.ค. 67–30 เม.ย. 68 หรือจนสถานการณ์คลี่คลาย เพื่อบูรณาการเฝ้าระวัง ติดตามจุดความร้อน ประเมินสถานการณ์ ระงับเหตุ จัดตั้งชุดปฏิบัติการ ชุดลาดตระเวนร่วมกับชุมชนใกล้ป่า ทำแนวกันไฟ และประชาสัมพันธ์
กองทัพอากาศ โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ ได้เตรียมอากาศยาน กำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงมีแผนจัดการฝึกบินควบคุมไฟป่าร่วมกับหน่วยงานภาคี สนับสนุนการบินกระจายเสียงสร้างความตระหนักรู้ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก การบินลาดตระเวนค้นหา ควบคุมไฟป่า สนับสนุนการลำเลียงทางอากาศให้กับหน่วยงานที่ร่วมปฏิบัติภารกิจ การบินส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ การค้นหาและช่วยชีวิต
กองทัพเรือ ได้เตรียมความพร้อมของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือในพื้นที่รับผิดชอบ 7 แห่งเมื่อได้รับการร้องขอ โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้ติดตั้งเครื่องบำบัด PM2.5 จำนวน 8 จุด รวม 10 เครื่อง อาทิ ด้านหน้าราชนาวีสโมสร 1 เครื่อง, ด้านหน้า บก.ทร. (วังนันทอุทยาน) 1 เครื่อง, หน้าศูนย์การค้าไอคอนสยาม 3 เครื่อง, ด้านหน้า รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า 1 เครื่อง และมีแผนติดตั้งเพิ่มเติม 18 เครื่อง
และยังมีการบูรณาการอากาศยาน กองทัพบกจำนวน 6 ลำ, กองทัพอากาศ 8 ลำ หน่วยงานภาคพลเรือน 15 ลำ และกองบินตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1 ลำ รวมถึงใช้โดรนค้นหาพื้นที่ไฟไหม้ สนับสนุนพื้นที่สนาม ฮ. ชั่วคราว เป็นแหล่งรวมอากาศยานดับไฟป่า ณ พล.ร.7 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์ปฏิบัติการ รวมถึงยกระดับความร่วมมือกรอบคณะกรรมการชายแดนและจังหวัดคู่ขนาน เพื่อกำกับควบคุมแหล่งกำเนิดการเผาจากประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมยังได้ประสานประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านกลไกความร่วมมือระดับอาเซียน คณะกรรมการชายแดน อาทิ GBC, HLC, TBC, RBC และระดับจังหวัดชายแดน โดยกองบัญชาการกองทัพไทย กรมกิจการชายแดนทหาร ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนงานตามผลการประชุม “แนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน”
อาทิ การฝึกอบรมการดับไฟป่าให้ประเทศเพื่อนบ้าน ฝ่ายลาวเมื่อเดือน ส.ค. 2567 และปัจจุบันอบรมเจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชา ณ ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการดับไฟป่าภาคกลาง จ.กาญจนบุรี รวมถึงจัดตั้งห้องปฏิบัติการติดตามสถานการณ์ไฟป่าให้ประเทศเพื่อนบ้าน (กรมกิจการชายแดนทหาร ร่วมกับ กรมควบคุมมลพิษ) 3 แห่ง ที่ จ.ท่าขี้เหล็ก เมียนมา, เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว และเมืองไชยะบุรี แขวงไชยะบุรี สปป.ลาว) และมีแผนจัดตั้งเพิ่ม 4 แห่งในปี 2568 (ที่แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว, จ.เชียงตุง เมียนมา, จ.เกาะกง จ.อุดรมีชัย กัมพูชา)
ในระยะยาวกระทรวงกลาโหมมีความพร้อม ทั้งเรื่องกำลังพล ยุทโธปกรณ์ของกองทัพ อาทิ รถดับเพลิง เครื่องสูบน้ำ อากาศยาน อากาศยานไร้คนขับ อุปกรณ์ดับไฟป่า รวมถึงการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ เพื่อสนับสนุนมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลในการแก้ไขและลดปัญหาฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานต่อไป