สงครามการค้าปะทุ

สหรัฐฯ-จีน ตายหมู่

เศรษฐกิจโลก ม้วนเสื่อ


มีผู้ให้ความเห็นมากมายว่า รัฐบาลไทยควรปฏิบัติตนอย่างไรในการหาทางเข้าไปเจรจากับนักเลงโตอย่าง ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ หลังประกาศใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีการค้าสูงโด่งกับประเทศต่างๆ โดยไม่แคร์กฏกติกาว่าด้วยการค้าเสรีขององค์การการค้าโลก(WTO) ซึ่งสหรัฐฯเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นเอง

ความเห็นที่ว่านี้ ทำให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ของไทย จัดตั้งทีมเจรจากับ USTR หรือสำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ด้วยการมอบหมายให้ รองนายกฯ และรมว.คลัง เป็นหัวหน้าทีม 

โดยมีรมว.พาณิชย์ ที่ปรึกษานายกฯ และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เป็นลูกทีม แต่น่าฉงนที่ทีมนี้ไม่มี มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งบอกกับนักข่าวภายหลังว่า เขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!

อย่างไรก็ตาม กว่า “ทีมไทยแลนด์” จะเดินทางไปกรุงวอชิงตันก็ต้องข้ามพ้นเทศกาลสงกรานต์ไทยไปก่อน นั่นก็คือ วันที่ 17 เม.ย.68

ฟังดูเหมือนไม่รีบร้อน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือยาก ไม่ต้องรีบไปนำเสนออะไรที่อาจกลายเป็นประเด็นทำให้ไทยเสียเปรียบ หรือ ถูกทรัมป์หยามหมิ่น อย่างที่ออกมาประกาศว่า “These countries are calling us up, kissing my ass”

ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะผู้มีความรู้ และประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะ ในการทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าไทยมาก่อน ให้ความเห็นว่า คำพูดของ มาริษ แสดงให้เห็นว่า ที่ผ่านมาเขาคงไม่เข้าใจบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศจริงๆ ที่สำคัญเขาอาจไม่ได้รายงานเรื่องใดๆ ให้นายกฯทราบเลย โดยเฉพาะท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐฯต่อความพยายาม Make America great again

...

ดร.ปานปรีย์ กล่าวว่า อาการของทรัมป์ แสดงให้เห็นมาตั้งแต่ “ทรัมป์ 1” เมื่อเขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งแรก เขาส่งสัญญาณแต่ต้นว่าเขาจะทำให้สหรัฐฯกลับมาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันก็ต้องทำให้นักลงทุนสัญชาติสหรัฐฯกลับเข้ามาลงทุนในประเทศให้ได้ ด้วยการจัดการประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะเป็นผู้ทำให้สหรัฐฯเสียเปรียบดุลการค้า โดยสหรัฐฯขาดดุลกับจีนสูงที่สุดถึงปีละ 500,000 - 1,000,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และนี่คือปัญหา Geopolitics ที่รมว.ต่างประเทศต้องเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม ความพยายามของ “ทรัมป์ 1” ถูกสกัดไว้โดยการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 นาน 3 - 4 ปี กระทั่ง โจ ไบเดน ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯแทน แม้ ไบเดน จะยังคงนโยายของ ทรัมป์ ไว้ แต่ก็ไม่ได้แข็งกร้าวกับจีน เช่นเดียวกับ ทรัมป์ จนเมื่อ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิดีอีกสมัย

ในช่วงเวลาของ “ทรัมป์ 1” เราจับตามองอยู่แล้วว่า อย่างไรก็เป็นปัญหาแน่ๆ

“ปัญหา Geopolitics นั้น มีทั้งภาคการค้า และการเงิน ตลอดไปจนถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เช่น ความขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย กับ ยูเครน เป็นต้น ส่วนปัญหาการค้า กับการเงินของสหรัฐฯ เราต้องรู้ว่า สหรัฐฯเกิดการขาดดุลการค้า และดุลงบประมาณพร้อมๆ กันมาอย่างต่อเนื่อง และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”

ปัญหานี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่สำคัญคือลึก เป็นภัยเงียบที่น่ากลัวกว่า จนหลายคนคาดการณ์ การขาดดุลแฝดที่ซื้อมากกว่าขาย และขาดดุลงบประมาณ ใช้เงินมากกว่ารายรับซึ่งสูงถึง 3 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ มีผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐสูญเสียความเชื่อมั่นไปมาก 

นักวิเคราะห์จึงมองอนาคตอันใกล้ของสหรัฐฯว่า อาจจะเกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจซึ่งต้องอัดฉีดเงินเข้าไปอีก เพราะเมื่อสินทรัพย์สหรัฐฯด้อยค่าลง หลายประเทศจึงทยอยเทขายมันออกมาทั้งพันธบัตร และเงินดอลลาร์

ดร.ปานปรีย์ กล่าวด้วยว่า ข้อมูลสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ต้องให้นายกฯรับรู้ด้วยก็คือ การที่จีนย้ายฐานการผลิตมายังประเทศต่างๆในเอเชีย หลังจากที่สหรัฐฯใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับจีนมาตลอด ทำให้จีนต้องย้ายฐานการผลิตมายังไทย เวียดนาม และหลายประเทศ เพื่อส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ(Back door)

และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ทรัมป์ แยกไม่ได้ว่า จะตั้งกำแพงภาษีกีดกันการค้ากับประเทศใดดีที่สุดจึงเล่นงานจีน โดยการตั้งกำแพลงภาษีโดดไปที่ 54% 

(หลังจากก่อนหน้านี้ เขาเล่นงาน แคนาดา เม็กซิโก ด้วยอัตรภาษีนำเข้า 25% และจีน 20% ในวันที่เข้าเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ)

“ผมไม่ได้บอกว่า จีนทำผิด เพราะสหรัฐฯเองก็ดำเนินนโยบายนี้มานาน และสนับสนุนให้ภาคเอกชนสหรัฐฯออกไปลงทุนในประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่ามาตลอด แต่มาวันนี้ กฏกติกาที่เคยสร้างขึ้น เปลี่ยนแปลงไป ทรัมป์ ล้มกระดานด้วยการประกาศตั้งกำแพงภาษีสูงกับทุกประเทศ”

ก่อนหน้านี้ 1 เดือน ทรัมป์ ได้สั่งให้ผู้แทนการค้า และกระทรวงพาณิชย์ไปเก็บข้อมูลทุกประเทศที่ทำการค้ากับสหรัฐฯมาให้ละเอียด เพื่อจะดูให้อย่างชัดเจนว่าประเทศใดปฏิบัติต่อสินค้าสหรัฐฯอย่างไร และเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯหรือไม่ มากน้อยเพียงใด 

สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯจึงส่งเอกสารที่มีชื่อว่า 2025 National Trade Estimate Report on FOREIGN TRADE BARRIERS ของ ประธานาธิบดี ทรัมป์ ในวันที่ 31 มี.ค.68 ก่อนที่ ทรัมป์ จะประกาศปรับขึ้นภาษีทุกประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐฯในวันถัดมา

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับไทย ระบุว่า สหรัฐฯ และประเทศไทยได้ลงนามข้อตกลงกรอบการค้า และการลงทุน (Trade and Investment Framework Agreement : TIFA)เมื่อวันที่ 23 ต.ค.2002 

ตกลงว่าภาษีศุลกากรที่ไทยใช้กับประเทศคู่ค้า(MFN: Most Favoured Nation ...การปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์เฉลี่ยที่ฐาน 9.8% (ข้อมูลล่าสุดปี 2023) สินค้าเกษตรอยู่ที่ 27% สินค้านอกภาคเกษตรเก็บที่ 7.1% โดยอัตราภาษีสูงสุดที่ไทยให้คำมั่นว่าจะไม่เกินกฏของ WTO เฉลี่ยอยู่ที่ 26.6%

เหตุผลที่ทำให้สหรัฐฯใช้ภาษีตอบโต้ไทยกลายเป็น 36% จากที่ผูกพันไว้กับ WTO เฉลี่ย 26.6% อาจบวกค่าปรับ หรือภาษีฐานเข้าไปอีก 10% จาก 26% + 10% = ประมาณ 36% 

“ผมคิดว่า กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศควรนำเอกสารฉบับนี้ให้นายกฯอ่าน และใช้เป็นพื้นฐานในการเจรจาต่อรองทางการค้าหลายด้าน เช่น สินค้าเกษตร และอาหารแปรรูป”

สินทรัพย์ทางปัญญา การแก้ไขการละเมิดสิทธิทางปัญญา การลงทุนด้านประกันภัย ธนาคาร ระบบโทรคมนาคม ที่ยังไม่เปิดเสรีเต็มที่ แม้จะมีสนธิสัญญาไมตรีทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯไปแล้ว ยังมีเรื่องของเสรีภาพในการรวมตัวของแรงงาน และการควบคุมเนื้อหาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไทยที่กว้างเกินไป เป็นต้น

ปัญหาของ ทรัมป์ ซึ่งอาจจะกลัวว่า ในวันที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯครบ 100 วัน หากตลาดหุ้นยังแดงเถือก หรือ ชาวสหรัฐฯออกมายกป้ายไล่เขาอีก ทำให้เขาต้องตัดสินใจประกาศชะลอการบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ทางการค้าออกไปอีก 90 วัน น่าจะทำให้ประเทศไทย มีโอกาสคิดอีกครั้งว่าจะเอาอะไรไปต่อรองกับสหรัฐฯ

ดร.ปานปรีย์ เสนอไว้ 3 กลุ่ม ได้แก่

1.กลุ่มที่ไทยเราจะสามารถให้เขาได้

2.กลุ่มที่เราคิดว่าจะมีผลกระทบต่อประเทศ และคนไทย

3.กลุ่มที่สหรัฐฯเกิดความคาดหวัง

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การระดมสมองร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดีที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่ผลงานเฉพาะตัว แต่เป็นผลงานที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติ

นักวิเคราะห์กลุ่มหนึ่งยังให้ความเห็นด้วยว่าเกมที่ ทรัมป์ ยอมเลื่อนออกไปอีก 90 วัน คงเหลือแต่การตอบโต้ จีน ด้วยอัตราภาษีที่สูงถึง 125 - 150% รายเดียว น่าจะเรียกว่า Chicken Game หรือเกมที่คนขี้ขลาดต้องแพ้ไป ไม่ก็ต้องตายไปทั้งคู่ เมื่อต่างคนต่างไม่ยอมแพ้กันเพราะศักดิ์ศรี 

ขณะที่กลุ่มผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯอย่างค่าย Apple ให้ความเห็นว่า พวกเขาไม่อาจจะย้ายฐานกลับมายังสหรัฐฯอย่างที่ทรัมป์ต้องการได้ เพราะที่จีน นอกจากจะมีอุปกรณ์ไอทีครบครันแล้ว ยังมีแรงงานที่มีทักษะและคุณภาพจำนวนมากเพื่อผลิตโทรศัทพ์รุ่นต่างๆของไอโฟนได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน 

เขาเปรียบเทียบทักษะของแรงงานจีนกับสหรัฐฯด้วยว่า ถ้าย้ายฐานการผลิตไอโฟนกลับมายังสหรัฐฯ ห้องที่ใช้ในการผลิตจะเล็กลงจนเหลือห้องเดียว ในขณะที่โรงงานในจีน มีห้องรองรับแรงงานที่มีทักษะ และความเชี่ยวชาญจำนวนมาก

ในฐานะคนดู สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน จะดำเนินไปถึงขั้นไหน หรือจะนำไปสู่ประวัติศาสตร์สงครามโลกที่ก่อตัวขึ้นจากผลประโยชน์ทางการค้า สู่ข้อยุติด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด