เห็นจะต้องยอมรับว่า รัฐบาลไทยเราหมดเรี่ยวหมดแรงไปเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสภาวการณ์หลายด้านที่รุมกระหน่ำเข้ามาในช่วงเวลาติดต่อกัน ในขณะที่ไม่รู้ว่าจะหาเงินมาได้จากทางไหนเพื่อดำเนินนโยบายแก้ปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาได้
โดยเฉพาะเมื่อไม่มีใครยอมรับแผนการลงทุนในโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการ 3 สนามบิน หรือแม้แต่โครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อจะนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจประเทศ
เมื่อเกิดเรื่องใหญ่อย่างการขึ้นกำแพงภาษีสูงโด่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบลามไปทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นอเมริกาเอง เอเชีย ยุโรป มหามิตร หรือศัตรู ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กๆ อย่างไทยเรา จะหาสินค้าใดไปแลกกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ได้
ในขณะที่ ทรัมป์ หวังเพียงอย่างเดียวคือ การบังคับขู่เข็ญให้ประเทศต่างๆ ต้องคลานเข่าเข้าไปเสนอบรรณาการจากประเทศตน เหมือนหน้าประวัติศาสตร์แห่งการแผ่ขยายอิทธิพลและอำนาจเมื่อหลายร้อยหลายพันปีก่อน
เมื่อประเทศไทยต้องพึ่งพาตนเองเช่นนี้ สิ่งที่รัฐบาลไทยและคนไทยต้องยอมรับชะตากรรมร่วมกันก็คือ ต้องยอมให้รัฐบาลขยายเพดานหนี้สาธารณะออกไปจากเดิมที่ขยายไว้ไม่เกิน 70% ก็จำต้องขยายต่อไปเป็น 80% ของ GDP
ถ้าต้องการให้ GDP หรือ Gross Domestic Product ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ขยายตัวได้ ในทุกๆ 1% รัฐต้องใช้เงิน 190,000 ล้านบาท ถ้าต้องการให้ GDP ขยายตัว 10% รัฐบาลต้องใช้เงินสูงถึง 1.9 ล้านล้านบาท
ปัจจุบัน หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ส.ค. 2567 อยู่ที่ 64.02% หรือประมาณ 11.7 ล้านล้านบาท แยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 9.78 ล้านล้านบาท หรือ 53.39%
เป็นหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยความเสียหายของสถาบันการเงินจากวิกฤติต้มกุ้ง 583,627 ล้านบาท หรือ 3.19%, เป็นหนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 1.06 ล้านล้านบาท หรือ 5.79%, หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินโดยมีรัฐค้ำประกัน 189,254.59 ล้านบาท หรือ 1.03% และหนี้หน่วยงานรัฐ 112,694.10 ล้านบาท หรือ 0.62%
...
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังที่กำหนดกรอบไว้อย่างชัดเจนในเรื่องใดบ้าง
นโยบายใหม่ ภายใต้การลืมเสียซึ่งโครงการเอ็นเทอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ และอื่นๆ ที่ประชาชนคนไทยไม่เห็นด้วยหรือมีข้อขัดข้อง รัฐบาลจำเป็นจะต้องเลื่อนโครงการต่างๆ เหล่านี้ออกไปโดยไม่มีกำหนด เพราะเป็นโครงการที่หมดทางจะหาเงินเข้าประเทศได้แล้ว
สิ่งที่รัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่โดยเร็วเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่แท้จริงก็คือ การลงทุนระบบน้ำ การชลประทานเพื่อการอุปโภค-บริโภค ตลอดจนถึงการสร้างระบบชลประทานทั่วประเทศให้แก่เกษตรกรไทย จากนี้ไปประเทศไทยจะต้องไม่เกิดภาวะน้ำแล้งหรือน้ำท่วมอีก
จากนี้ รัฐบาลอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการแจกเงินที่เพิ่งประกาศออกไปว่า จะแจกเงิน 10,000 บาทจากกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้แก่บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี ในเดือน ก.ย. นี้ใหม่
บางทีรัฐบาลจำเป็นต้องแจ้งแก่ประชาชนคนไทยตรงๆ ว่าประเทศไทยไม่มีเงินมากพอ สำคัญคือ ได้เกิดเรื่องใหญ่ที่ไม่คาดคิดเกี่ยวกับกำแพงภาษีของทรัมป์ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งโลกขึ้น
สำหรับการลงทุน 1 ล้านบาท จะทำให้มีการสร้างงานสร้างรายได้แก่ผู้คนราว 300,000 ตำแหน่ง และอาจทำให้ GDP ขยายตัวได้ถึง 1% จากสภาพคล่องที่หมุนเวียนในระบบ
ระหว่างที่ต้องดูแลการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเข้มข้น สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีม ร่วมกับรองนายกฯ และรมว. จากหลายกระทรวงที่จะดำเนินการด้านการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ปรับระบบการเกษตร การจัดโซนนิ่ง และอุตสาหกรรมประเภท Hi-Tech ในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยโดยมีความร่วมมือจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
การกลับมาดูแลตัวเองให้แข็งแกร่ง สร้างทักษะ เพิ่ม skill แก่คนงานไทยและโรงงานไทยในประเทศ อาจใช้เวลา แต่ก็ยั่งยืนกว่า
ขณะที่การเจรจาทางการค้าก็ต้องยอมรับว่า ต้องเจรจาส่วนที่เราขาด และยอมรับว่าการผลิตด้านใดที่ประเทศไทยเราด้อยกว่า ควรยอมเขาไป และเข้าไปดูแล SMEs ที่เหลืออยู่ราว 1 ล้านรายให้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งจริงๆ ดีกว่า
มีข้อเสนอว่า ข้าวโพดและถั่วเหลืองซึ่งประเทศไทยผลิตไม่ได้ตามความต้องการ ก็เสนอซื้อจากสหรัฐฯ ไปเสียเลย การเผาป่าในพื้นที่ภาคเหนือฝุ่นควันจะได้ไม่เข้ามารบกวนคนไทย
ขณะที่ เกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เสนอให้ไทยนำสมุนไพรมีค่าหลายรายการไปเปิดตลาดที่สหรัฐฯ อย่างจริงจัง หรืออาจจำเป็นต้องขอให้ฝ่ายทหารซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับภาษีที่ผู้ส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบกระเทือนบ้าง
เลิกเถียงกัน แล้วมาช่วยทำให้ประเทศชาติและคนไทยผงาดขึ้นอีกครั้งบนเวทีโลกใบนี้เหอะ