คนไทยหมดหวังที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอีกครั้งเมื่อนักการเมืองจากพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล เปิดศึกแสดงให้ผู้คนทั่วไปเห็นชัดเจนว่า มีความไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรงแทบจะในทุกเรื่องที่เป็นนโยบายแถลงต่อรัฐสภา 

ผลทำให้รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามเป้าประสงค์ได้ ... และนั่นส่งผลให้กราฟเศรษฐกิจประเทศดิ่งหัวลงตามลำดับ 

เมื่อการค้าการขายหดตัว ประชาชนไม่ใช้จ่าย นักท่องเที่ยวไม่เข้าประเทศ การลงทุนจากภาครัฐ และภาคเอกชนไม่เกิดขึ้น ธุรกิจใหญ่ๆ หลายแห่งในประเทศเริ่มประสบปัญหาการขาดทุน 

ตึกแถว และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจถูกเทขายออกมาในตลาดในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ขอกู้จากแบงก์พาณิชย์ และ สถาบันการเงิน เช่นเดียวกับการเลหลังขายรถยนต์ของเต้นท์รถมือสอง 

ที่เป็นปัญหาสำคัญอีกเรื่องก็คือ เมื่อนักการเมือง และพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงรัฐมนตรีในรัฐบาล และ ข้าราชการกระทรวงต่างๆ จึงเข้าเกียร์ว่างกันหมด 

เพราะไม่มีความชัดเจนว่ารัฐบาลจะให้ดำเนินการในนโยบายนั้นๆ อย่างไร?...เช่น นโยบายการแจกเงินดิจิทัล ที่นายกฯไม่ลุกขึ้นมาตัดสินใจเด็ดขาดในขณะที่รู้ชัดว่าเงินในประเป๋าไม่มี!

สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ความไม่ลงรอยกันดังกล่าวเดินมาถึงจุดที่เรียกว่า “ทางตัน” ที่ไม่มีใครมองเห็นทางออกที่ดีกว่า ยุบสภา, นายกฯลาออก, ปรับครม. หรือ เปลี่ยนตัวผู้นำโดยการเปลี่ยนพรรคแกนนำ ฯลฯ

รวมถึงการตัดสินใจให้พรรคภูมิใจไทยซึ่งขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรงพ้นจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ไปเป็นพรรคฝ่ายค้านในสภาแทน

...


เพื่อไทย - ภูมิใจไทย เปิดหน้าชน

หมดปัญญาเดินหน้าแทบทุกนโยบาย

มาดูประเด็นที่สองพรรคการเมืองใหญ่จากเพื่อไทย และภูมิใจไทย ขัดแย้งกันอย่างหนัก แม้หน้าฉากการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน จะกลบเกลื่อนความร้าวฉานกันได้อย่างแยบยลก็ตาม

ประเด็นแรกคือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลองค์กรอิสระ และ การให้คุณให้โทษแก่องค์กรอิสระที่มีแนวโน้มทุจริตต่อหน้าที่ การไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในบทบัญญัตินี้ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถจัดการกับปัญหาการถล่มลงของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แม้จะพบข้อถกเถียงมากมายเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบก็ตาม 

ตามด้วย พรบ.ขนส่งทางราง ที่กระทบต่อการดำเนินนโยบายตั๋วร่วมของรถไฟฟ้าราคา 20 บาททุกสายอันเป็นนโยบายในยุคของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรองนายกฯ และ รมว.คมนาคม

พรบ.เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ที่ต้องแลกกับ พรบ.การพนันออนไลน์ รวมถึงร่างกฎกระทรวงเพื่อปราบปรามการใช้กัญชา และกระท่อมอย่างผิดกฏหมาย ซึ่งอาจจะเลยไปถึงขั้นแก้ไขพรบ.ให้กัญชา และกระท่อมกลับมาเป็นยาเสพติดอีกครั้ง ก็เป็นปัญหาคาราคาซังที่ยอมกันไม่ได้ 

ในข้อเท็จจริง ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ เคยมีการคุยกันอย่างเปิดเผย และขอรับการสนับสนุนกันมาสองสามครั้งแล้ว แต่ในที่สุดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ดำเนินไปไม่ได้เพราะติดขัดสภาสูงของวุฒิสภา

เมื่อบ้านใหญ่ของสมาชิกวุฒิสภาสายสีน้ำเงินซึ่งมีมากถึง 140 คน (สำรอง 1 ตาย 1) ไม่เห็นชอบด้วยพรบ.ต่างๆ ของพรรคเพื่อไทย การแลกหมัดระหว่างสองพรรคจึงเกิดขึ้น 


รัวหมัดคดี “ฮั้ว สว.”- ขับรมต.สีน้ำเงิน

“ทักษิณ” ยอมแลก “ติดคุก”!

เรื่องที่เอาจริงเอาจังอย่างมาก ภายใต้การรุกเข้าดำเนินคดีของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ก็คือ คดี “ฮั้ว สว.” ของพรรคภูมิใจไทย คดีนี้นอกจากจะทำให้ คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ยอมให้ความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ออกหมายเรียกสอบสว. 55 คนซึ่งใกล้ชิดกับกลุ่มบุคคลในบ้านใหญ่แล้ว 

ยังมีคิวเรียกสอบ สว.สีน้ำเงินอีก 90 คนในเครือข่ายที่พบความสัมพันธ์กันในหลายทาง รวมถึงเส้นเงินที่มีการให้ข่าวกับสื่อมวลชนด้วย

อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดี ฮั้ว สว.ในข้อหาฟอกเงิน และอั้งยี่ ซ่องโจรนี้ ดุเดือดถึงขั้นแลกหมัดกันด้วยการให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งถึง พ.ต.อ.ทวี ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กระทั่งฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จำต้องหาคนใหม่เข้าไปทำหน้าที่แทน พ.ต.อ.ทวี

ถ้าการดำเนินคดีนี้สามารถเอาผิดกับสว.สีน้ำเงินได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ คงให้ สว.สำรอง 99 คนขึ้นมารับหน้าที่เป็นสว.ได้เลยโดยอัตโนมัติ

นอกจากนี้ ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล โดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานพรรคกล้าธรรม ยังคงเคลื่อนไหวทางการเมือง ด้วยการตั้งหน้าตั้งตาดูดสส.งูเห่าจากพรรคการเมืองต่างๆ ไปเข้าพรรคตน หรือพรรคเพื่อไทยเพื่อให้รัฐบาลมีเสียงมากพอจะทดแทน 69 เสียงของพรรคภูมิใจไทย หากเกิดความขัดแย้งกันถึงขั้นต้องยุติการร่วมหอลงโรงกัน

มีการประเมินว่า ขั้วใหม่ของรัฐบาลอาจมีเสียงน้อยลง และพรรคร่วมลดลง จากปัจจุบัน 324 เสียง มีพรรคร่วมรัฐบาล 11 พรรค ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 142, ภูมิใจไทย 69, รวมไทยสร้างชาติ 36, กล้าธรรม 24, ประชาธิปัตย์ 25, ชาติไทยพัฒนา 10, ประชาชาติ 9, ไทยสร้างไทย 6, ชาติพัฒนากล้า 2, เสรีรวมไทย 1, และประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง รัฐบาลก็อาจมีเสียงเหลือเพียง 280 - 300 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้านจะได้เสียงเพิ่มขึ้น แต่การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล น่าจะดำเนินไปได้ราบรื่นกว่า 

อย่างไรก็ตาม ระหว่างการเสนอขับพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลนั้น สมาชิกพรรคเพื่อไทย เสนอให้ขอคืนเก้าอี้ รองนายกฯ และ รมว. มหาดไทย จาก อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อม เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงอื่นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ แรงงาน และ อว.(อุดมศึกษา วิทยา ศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) ก่อน 

การแลกหมัดกันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ ภูมิใจไทยในครั้งนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า อดีตนายกฯทักษิณ ได้ประกาศกับคนใกล้ชิดว่า เขายอมติดคุก หลังจากมีรายงานว่า พรรคภูมิใจไทย หันไปจับมือกับฝ่ายอนุรักษ์ ให้ปลุกซอมบี้ในอดีตกลับขึ้นมาเล่นงานกรณี “ชั้น 14” ให้ได้ด้วย


เศรษฐกิจดิ่งลึก “ส้ินหวัง” ทุกด้าน

คนจีนไม่เดินทางเข้าประเทศไทย

นักการเมืองไม่เห็นหัว “คนไทย”

ทีนี้มาดู มาดูรายงานสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี 68 จาก ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ซึ่งแถลงล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจไตรมาสแรกของปีนี้ ขยายตัวในลักษณะชะลอตัวลงเหลือ 3.1% จาก 3.3% ไตรมาสที่ 4 ของปีก่อน

ส่วนการใช้จ่าย การส่งออก การลงทุน การอุปโภค-บริโภคภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ ชะลอตัวลงในทุกหมวด เช่นเดียวกับการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ลดลงในหลายรายการ ขณะที่ธุรกิจที่พักและบริการอาหารขยายตัวอยู่ที่ 7.2% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ระดับ 10.4% การขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ขยายตัว 5.4% จากเดิม 9.0% การก่อสร้าง ขยายตัว 16.2% จากเดิม 18.3% 

มาถึงแนวโน้มการขยายตัวของ GDP ปีนี้อยู่ที่ 1.3 - 2.3 หรือ เลขาฯสภาพัฒน์ ให้ค่ากลางของการขยายตัวของ GDP ไว้ที่ 1.8% จากความไม่แน่นอนของการตั้งกำแพงภาษีกีดกัดการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ

โดยระบุว่า การอุปโภคภาคเอกชนจะลดลงเหลือ 2.4% จากเดิม 3.3% การอุปโภคภาครัฐเท่าเดิม 1.3% การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวติดลบ 0.7% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 5.5% เงินเฟ้อ 0.9% ส่วนการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ 1.8% ลดลงจากเดิม 3.5% 

ตัวเลขเหล่านี้ ตอบทุกโจทย์ที่มีคนพูดถึง การค้าขายที่ซบเซา ร้านอาหารปิดตัวลงจำนวนมาก ห้างสรรพสินค้าที่แข่งกันสร้างประสบปัญหาขาดทุน ผู้คนแหขายบ้าน และคอนโดฯเหมือนๆ กับที่เคยแห่ขายรถยนต์ ฯลฯ

ที่สำคัญคือนักท่องเที่ยวชาวจีน ไม่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยเลย นั่นอาจจะเป็นเพราะยังมีชาวอุยกูร์อีก 4 คนที่ยังติดคดีอยู่ในประเทศไทย และไม่สามารถส่งกลับคืนให้รัฐบาลจีนได้ 

ทั้งหมดนี้ ถ้า นายกฯแพทองธาร ไม่ลุกขึ้นมาบริหารอำนาจที่มีอยู่ และตัดสินใจ เด็ดขาดในเรื่องที่เป็นปัญหาล่ะก็ อาจทำให้ประชาชนคนไทย รู้สึกว่า “ส้ินหวัง”เพราะนักการเมืองมองไม่เห็นหัวพวกเขา...นอกจากผลประโยชน์เฉพาะตัว กับกลุ่มก้อน 

ท้ายที่สุด เรื่องราวอาจลุกลามบานปลายไปไกลจนเราๆ ท่านๆ คาดไม่ถึงก็ได้!