กรรมาธิการการคลัง วุฒิสภา จี้รัฐบาลรัดเข็มขัด หลังพบข้อมูล 3 กรมหลักจัดเก็บรายได้พลาดเป้านับแสนล้าน แนะปฏิรูปการลงทุนโครงสร้างขนาดใหญ่ ชะลอสร้างเรือนจำออกไปก่อน พร้อมชื่นชมเป็นสุภาพบุรุษยอมถอยโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 26 พ.ค. 2568 ที่รัฐสภา น.ส.ชญาน์นันท์ ติยะตระการชัย ประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ด้านการคลัง ในกมธ.การเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง วุฒิสภา แถลงเรียกร้องให้รัฐบาลเตรียมการให้รอบคอบต่อแผนการรัดเข็มขัดที่เกิดจากการจัดเก็บรายได้ที่ลดลง โดยระบุว่าจากการติดตามการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งอนุกมธ.ได้เชิญ 3 หน่วยงานที่มีหน้าที่จัดเก็บรายได้ คือ กรมสรรพากร, กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร เข้าชี้แจงต่ออนุกมธ.เมื่อ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา พบข้อมูลที่น่าตกใจและเป็นกังวล คือ การประมาณการการจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐที่มีแนวโน้มและความเป็นไปได้ที่ต่ำกว่าเป้าหมายรวมกันมากถึงแสนล้านบาท แม้ว่ารัฐบาลนี้จะมีรายได้จากทางอื่น เช่น รัฐวิสาหกิจที่ต้องนำส่งเงิน แต่จากการพิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น สภาพคล่องของครัวเรือนมีปัญหา ราคาสินค้าเกษตรกรตกต่ำ มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา และค่าใช้จ่ายในส่วนของการประกันราคาพืชผลเกษตรกร จึงเป็นสัญญาณอันตรายยิ่ง
ชมสปิริตยอมถอนเงินดิจิทัล
“การจัดทำงบประมาณรายจ่ายตามพ.ร.บ.งบฯ 2569 เป็นการจัดทำในช่วง ต.ค. 2567 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น โดยในรายละเอียดของร่างพ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2569 นั้น พบโครงการที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ น้อยมาก ซึ่งอยากเห็นการรัดเข็มขัด รวมถึงการปฏิรูป เปลี่ยน แก้ และปรับ เช่น ในปี 2568 ถึงปี 2570 ใช้แทนกันได้ ส่วนงบประมาณที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นอาจจะอยู่ในส่วนของงบกลาง ซึ่งยังไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจน นอกจากนั้นแล้วในการดำเนินโครงการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลที่ชะลอออกไป ถือเป็นการแสดงสปิริตของรัฐบาล ที่แสดงความเป็นสุภาพบุรุษเพราะยอมถอย และปรับตามงบประมาณที่จำเป็น” น.ส.ชญาน์นันท์ กล่าว
...
แนะชะลอสร้างเรือนจำ
ด้านนายศรายุทธ ยิ้มยวน กรรมาธิการฯ กล่าวเสริมว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมและตรวจสอบได้ และในแง่ของการลงทุนต่างๆ ควรต้องปฏิรูป โดยเฉพาะการสร้างตึกขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณสูงถึง 100 - 1,000 ล้านบาท ควรพิจารณาในแง่ความจำเป็น เช่น การสร้างเรือนจำเพิ่มในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ตนมองว่าควรชะลอ และใช้วิธีบริหารจัดการ หากมีผู้ต้องขังในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มแต่เรือนจำรองรับไม่ได้ ควรย้ายไปให้จองจำพื้นที่ภาคอื่น เช่น ภาคเหนือ ภาคใต้ ที่สามารถรองรับจำนวนนักโทษได้ เป็นต้น