โฆษกพรรคพลังประชารัฐไม่แปลกใจ “สมศักดิ์” วีโต้มติทำโทษ 3 หมอ ซัดการเมืองปั่นกระแสทำลายความน่าเชื่อถือแพทยสภา ด้าน “บิ๊กป้อม” ชื่นชมแพทยสภาตัดสินตรงไปตรงมา เรียกร้องสังคมช่วยกันปกป้องเกียรติภูมิและศักดิ์ศรี
วันที่ 30 พ.ค. 2568 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้วีโต้มติของแพทยสภาที่ให้ลงโทษแพทย์ 3 ราย ว่า เป็นไปตามที่สังคมคาดไว้ว่า รมว.สาธารณสุขจะใช้สิทธิวีโต้ ตาม ม.25 พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 แม้นายสมศักดิ์จะใช้อำนาจยับยั้งมติแพทยสภาแล้วก็ตาม แต่ในท้ายสุด มติดังกล่าวต้องกลับไปที่ประชุมใหญ่แพทยสภาอยู่ดี เชื่อมั่นว่า มติที่ประชุมใหญ่คงเป็นไปตามเดิม เพราะข้อโต้แย้งของสภานายกพิเศษไม่มีเหตุผลหรือสาระสำคัญที่จะทำให้มติแพทยสภาเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่แย้งเหตุผลทางธุรการ ซึ่งกรณีดังกล่าวทางแพทยสภาได้ตอบกลับไปยังสภานายกพิเศษเรียบร้อยแล้ว การวีโต้คงมีผลเพียงแค่ยื้อเวลาออกไป และเพื่อให้นายใหญ่เห็นว่าจงรักภักดีมากกว่าหลักการ ซึ่งท้ายที่สุด หากแพทยสภายืนยันตามผลการพิจารณาเดิม ก็จะส่งผลในการพิจารณาของ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 13 มิถุนายนที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน
ซัดขบวนการดิสเครดิต
โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวด้วยว่า มีกระบวนการพยายามสร้างกระแสเพื่อดิสเครดิต และทำลายความน่าเชื่อถือของแพทยสภาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือคนบางคนไม่ให้กลับไปรับโทษจำคุกอีก ถ้าการเมืองยังคงเล่นสกปรกอย่างนี้ ประเทศชาติไม่เจริญแน่นอน ทั้งนี้ หากมติแพทยสภายังคงอยู่ หรือมีผลครบถ้วนตามกฎหมาย แสดงให้เห็นว่าการออกมาจากเรือนจำของนายทักษิณ เพื่อออกไปตรวจรักษาเป็นไปโดยทุจริต และมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกไปตรวจรักษาจำนวน 180 วัน ไม่มีการป่วยในภาวะวิกฤตที่อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ กรณีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีเหตุจำเป็นจะต้องสั่งให้นายทักษิณกลับไปรับโทษตามกฎหมายตามกำหนดเสียก่อน
...
ชี้อาจต้องกลับไปรับโทษใหม่
ดังนั้น การอ้างว่าถูกควบคุมตัว หรือรับโทษมาแล้ว 180 วัน หรือ 1 ใน 3 ของโทษที่เหลือนั้น หากไม่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นไปโดยผิดขั้นตอนและระเบียบกฎหมาย จะส่งผลให้นายทักษิณขาดคุณสมบัติหรือเป็นเหตุให้ไม่สามารถขอพระราชทานอภัยโทษในโทษที่เหลือ 1 ปีนั้นได้ เมื่อนายทักษิณขาดคุณสมบัติในการขอพระราชทานอภัยโทษ การขอพระราชทานอภัยโทษจึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนบัญญัติของกฎหมาย จำเป็นต้องกลับไปรับโทษที่เหลือ 1 ปีตามเดิม
นอกจากนี้ ผู้ป่วยภาวะวิกฤติที่อันตรายถึงแก่ชีวิต ต่อมาเมื่อภาวะวิกฤติที่จะอันตรายถึงแก่ชีวิตหมดไป ก็ถือว่าความจำเป็นที่จะต้องพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำก็จะหมดไปด้วย ซึ่งเป็นหน้าที่กรมราชทัณฑ์จะต้องตรวจสอบและนำตัวผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นกลับไปยัง รพ.ในเรือนจำหรือเข้าควบคุมในเรือนจำตามแต่อาการที่ปรากฏ ไม่ใช่พักอยู่ รพ.ภายนอกเรือนจำจนหายปกติ แข็งแรง ตีกอล์ฟ เต้นระบำ นวดหน้า ขึ้นเวทีปราศรัย ด่าใครต่อใครได้
ไม่เคยขออนุญาตศาลฎีกา
โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวด้วยว่า อีกประการหนึ่งคือ กระบวนการการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำ กรณีนี้เป็นการควบคุมตัวตามคำพิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การออกไปรับการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำ จะต้องขออนุญาตศาลฎีกาฯ ก่อน หากเป็นกรณีเร่งด่วนไม่สามารถขออนุญาตศาลฎีกาฯ เพื่อส่งตัวมาทำการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำได้ในทันที ต้องรายงานเพื่อขออนุญาตศาลฎีกาฯ ส่งตัวไปตรวจรักษาเพื่อทุเลาโดยเร็วที่สุด ซึ่งในกรณีนี้ไม่มีการขออนุญาตต่อศาลฎีกาฯ แต่อย่างใด
จากกระบวนการการสอบสวนของแพทยสภา ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วยเป็นเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย หรือเจ็บป่วยในภาวะวิกฤติที่อาจจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต เอกสารการตรวจทางการแพทย์มีเหตุและข้อควรสงสัยว่าไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ลงโทษดังกล่าว
หลักฐานพบพิรุธอื้อ
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า แม้จะมีการพยายามอ้างจากกลุ่มบุคคลหลายกลุ่ม โดยอ้างกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของกรมราชทัณฑ์ หรือกฎหมายของหน่วยงานอื่น ซึ่งเป็นอนุกฎหมาย ไม่อาจมาหักล้างหรือเทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายที่ออกโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้ อีกทั้งการปฏิบัติตามกฎหมายย่อยยังปฏิบัติได้ไม่ครบถ้วน แสดงถึงข้อพิรุธที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการส่งตัวคนไข้ออกจากเรือนจำ โดยแพทย์ผู้รับผิดชอบยังไม่ได้ทำการตรวจคนไข้โดยตรง เพียงแค่สอบถามอาการจากพยาบาลเวรทางโทรศัพท์เท่านั้น ตลอดจนหลักฐานทางเวชระเบียนพยาบาลที่ปรากฏในคอมพิวเตอร์ และรายการจ่ายค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ได้มีรายละเอียดยืนยันจากการเจ็บป่วยร้ายแรง ที่ต้องรับการตรวจรักษาภาวะวิกฤตินานถึง 180 วัน
ท้ายสุดทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวชื่นชมแพทยสภาที่ตัดสินอย่างตรงไปตรงมา ถือหลักการและประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ของคนบางคน และวอนสังคมช่วยกันปกป้องเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีแพทยสภา เพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป