เป็น “เดอะแบก” ของธุรกิจสัมปทานให้รัฐ และแบงก์พาณิชย์บางแห่งมานาน ในที่สุด คิง เพาเวอร์ โดย นิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคิง เพาเวอร์ คอร์ป จำกัด ก็ได้ยื่นหนังสือขอเจรจากับผู้บริหาร บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) หรือ AOT เพื่อยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีใน 3 สนามบิน ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่
สำหรับสัญญา 3 สนามบินที่ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ทำไว้กับ ทอท.ในกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรนี้ ลงวันที่กันไว้เมื่อ 4 ก.ค.2562 มีอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 28 ก.ย.2563 - 31 มี.ค. 2574 โดยกำหนดให้ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำปีแรกแก่ ทอท. 2,331 ล้านบาท
ก่อนจะมาถึงจุดนี้ คิง เพาเวอร์ ได้ขอแก้ไขสัญญากับ ทอท.ไป 2 ครั้งคือ วันที่ 17 พ.ย.2563 และ 26 ส.ค.2565 โดยล่าสุด ขอปรับอายุสัญญาเป็นระหว่างวันที่ 28 ก.ย.2563 - 31 มี.ค.2576
เพราะสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ทำให้ ทอท.ปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำมาเป็นการเก็บตามรายหัวของ ผู้โดยสาร (Sharing Per Head) โดยเรียกเก็บทั้งขาเข้า-ออก และผู้โดยสารผ่าน รายละ 127.30 บาท
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ก็มีเหตุสงครามในหลายภูมิภาค ทั้งยังมีสงครามการค้า มาตรการกีดกันทางการค้า กำแพงภาษี และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะเมื่อผู้โดยสารจีนที่มีกำลังซื้อสูงสุดมีจำนวนลดลง ทำให้ยอดขายลดลงตาม
เหตุสุดวิสัยส่งผลต่อยอดขาย
ผู้โดยสารไม่เข้าประเทศตามเป้า
กรณีข้างต้น กลายเป็นเหตุสุดวิสัยที่ส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่าย ผลประกอบการ ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ถึงค่าตอบแทนที่บริษัทต้องจ่ายให้ทอท. ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าตัวเลขจำนวนผู้โดยสารที่ผ่านเข้า-ออกจริง
...
ผลกระทบต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ คิง เพาเวอร์ ประสบภาวะขาดทุนจากการแบกรับอัตราค่าผลตอบแทนที่สูง และไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
ซีอีโอ คิง เพาเวอร์ ระบุว่า เหตุสุดวิสัยนั้น ไม่ได้เกิดจากการกระทำ หรือ ความผิดพลาดของบริษัท ในทางกลับกัน ทอท.กลับพิจารณา และดำเนินการอันเป็นประโยชน์ต่อทอท.เพียงฝ่ายเดียว…
โดยไม่ได้หารือร่วมกับบริษัทเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมต่อการทำธุรกิจร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยังไม่คลี่คลาย บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องขอหารือร่วมเพื่อหาข้อยุติของปัญหา รวมไปถึงแนวทางพิจารณาเลิกสัญญาเพื่อให้ได้ข้อยุติใน 45 วัน
ก่อนหน้านี้ หรือ เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2567 คิง เพาเวอร์ ได้ยื่นหนังสือขอเลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภูเก็ต เชียง ใหม่ หาดใหญ่ และดอนเมือง ตั้งแต่เดือน ส.ค.2567 ถึง ก.ค.2568 รวม 12 งวดออกไปงวดละ 18 เดือน
เนื่องจากผลกระทบจากการจำกัดการเดินทางของรัฐบาลจากโควิด-19 ทำให้สายการบิน จำนวนบิน และผู้โดยสารลดลงจนแทบไม่เหลือ ทำให้ร้านค้าปลอดอากรต้องปิดชั่วคราว ส่งผลต่อรายได้บริษัท และพนักงานต้องขาดรายได้
แม้สถานการณ์จะกลับมาดีขึ้น แต่ธุรกิจการท่องเที่ยว สายการบิน และสนามบิน ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทำให้บริษัทยังไม่สามารถฟื้นฟูธุรกิจได้เต็มที่ ในขณะที่ต้องลงทุนปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมาก แต่สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อเพิ่ม เพราะมีหนี้สินครบกำหนดชำระ แต่ชำระไม่ได้จำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง
และนั่นทำให้บริษัทประสบปัญหาขาดทุนสูงกว่า 651 ล้านบาท นับแต่ปี 2566 เป็นต้นมา จนถึงบัดนี้ บริษัท คิง เพาเวอร์ ยังคงเผชิญปัญหาการขาดทุนต่อเนื่อง
การขอเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำออกไปนั้น ทอท.ยังคงได้รับค่าเช่าพื้นที่ และใบการันตี 12,000 ล้านบาทเป็นค่าปรับหากบริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้
ในเวลาเดียวกัน บริษัทได้แจ้งขอลดค่าปรับอัตราร้อยละ 18 ที่ถูก ทอท.เรียกเก็บลงเหลือร้อยละ 2 ตามอัตราดอกเบี้ย MLR ของธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง
ซุกปัญหา คิง เพาเวอร์ ไว้ใต้พรม
“อัยยวัฒน์” ระบุ ขอหารือ 10 รอบ ไม่ผ่าน
อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการบริหาร คิง เพาเวอร์ บอกกับเราว่า เขาพยายามร้องขอผู้บริหาร ทอท.ก่อนหน้านี้ให้รับฟังปัญหาไม่น้อยกว่า 10 ครั้งที่เดินเข้าออกในสำนักงาน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ หรือ ตลอดช่วงปี 2566 - 2567 แต่ผู้บริหารทอท.ขณะนั้น ไม่รับฟัง ทำให้เขายังคงแบกรับภาระการขาดทุนต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
“ผมไม่อยากบอกใครเลยว่า มีผู้ประกอบการภายใต้สัญญาในท่าอากาศยานมากกว่า 70 ราย ได้ขอเลื่อนการชำระ ขอผ่อนชำระ หรือแม้แต่ขอยกเลิกประกอบกิจการ โดยที่ คิง เพาเวอร์ ต้องรับผิดชอบทั้งหมด…
เพราะผู้ประกอบการโดยเฉลี่ยชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสูงกว่าอัตราการแบ่งรายได้เกินร้อยละ 50 ที่สุดปัญหาต่างๆ ก็ส่งผลให้ คิง เพาเวอร์ แบกรับภาระนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ จึงต้องทำเรื่องขอ ทอท.เลื่อน หรือ ขยายระยะเวลาการชำระเงินของผู้ประกอบการที่เผชิญสภาวะสภาพคล่องตกต่ำออกไป”
ความพยายามเจรจากับ ทอท.ที่ไร้ผลมาตลอดช่วงเวลายากลำบากนั้น ทำให้บริษัทขาดทุนสะสมไปแล้วกว่า 2,000 - 3,000 ล้านบาท
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ต้องแบกเรื่องต่างๆ ไว้เพราะไม่อยากซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจให้กับประเทศมากไปกว่านี้อีก…
ตั้งแต่โควิดระบาด สายการบินไม่มีเครื่องบิน จำนวนผู้โดยสารลดฮวบลง นักท่องเที่ยวจีนกลัวเรื่องความปลอดภัย หลังจากมีดาราจีนชื่อ ชิง ชิง ถูกจับตัวไป และนักท่องเที่ยวจีนไม่มา อย่างปีนี้ คาดว่า เขาน่าจะกลับมาราวๆ 18% แต่เอาจริงๆ เขากลับมาไม่ถึง 6% สำคัญคือ พฤติกรรมการบริโภคของเขาเปลี่ยนไปด้วย
เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ไม่ใช้จ่ายเงินเพราะกลัวภาวะสงคราม และปัญหาจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ในเวลาเดียวกัน ผมไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นของทอท.หรือ AOT ปรับตัวลดลง เพราะหุ้นทุกตัวปรับลดลงถ้วนหน้า”
ลดพนักงาน-ลดขนาดธุรกิจก็แล้ว
จำใจขอยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี
มีรายงานด้วยว่า อัยยวัฒน์ พยายามทำทุกทางเพื่อให้ คิง เพาเวอร์ อยู่รอดได้ เช่นเดียวกับกิจการอื่นๆ ที่ “วิชัย” บิดาเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไปอย่างกะทันหันจากเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ตกที่เมืองเลสเตอร์ในประเทศอังกฤษ ในวัยที่เพิ่งผ่านวันเกิดครบอายุ 60 ปีไม่กี่เดือน
อัยยวัฒน์ เคยพูดกับผู้ใกล้ชิดว่า เมื่อก่อนมี 2 หัว ต่างคนต่างช่วยกันคิด วันนี้ถึงจะมีหัวเดียว แต่เขาจะพยายามทำทุกทางเพื่อนำพาธุรกิจของบิดาไปให้อยู่รอดให้ได้ ที่สำคัญเขายังมีครอบครัวศรีวัฒนประภา มารดาและพี่น้องช่วยกันประคับประคองธุรกิจของ คิง เพาเวอร์ ไปจนสามารถประสบความสำเร็จให้จงได้
ที่ผ่านมา คิง เพาเวอร์ ได้ปรับลดพนักงานลงจาก 20,000 คน จนที่สุดเหลืออยู่เพียง 8,000 คน และปรับลดรายจ่ายทุกด้านเพื่อทำให้ขนาดของบริษัทเล็กลง แต่ก็ยังเอาไม่อยู่ เพราะแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย แต่กฎกติกาทุกเรื่องยังคงกดหัวการดำเนินธุรกิจของบริษัทไว้ จนต้องขอยกเลิกสัญญา
สำหรับคำขอของคิง เพาเวอร์ข้างต้น รองนายกฯ และรมว.คมนาคม สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และน.ส.ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ทอท.จะนำเรื่องเข้าบอร์ดในวันที่ 16 มิ.ย.นี้
พร้อมพิจารณารวมสัญญาของคิง เพาเวอร์ทุกสัญญา ได้แก่ สัญญาร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิ, สัญญาร้านค้าปลอดอากรอื่นๆ และ สัญญาร้านค้าปลอดอากรใน 3 สนามบินภูมิภาค เพื่อร่วมกันหาทางแก้ปัญหา และข้อสรุปให้ชัดเจน โดยจะให้เสร็จสิ้นภายใน 2 เดือนนี้
สภาพการณ์ที่นักการเมืองทะเลาะกันในแบบเอาเป็นเอาตาย แบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อ มหาอำนาจประกาศมาตรการกีดกันทางการค้าหนักหน่วง และรุนแรง ขณะที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่เรียกว่า Perfect Storm
แต่รัฐบาลไม่สามารถบริหารจัดการ หรือแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลยนั้น ถ้าปล่อยให้ภาคธุรกิจเอกชนไม่รอด หรือ ตายไปทีละราย...ประเทศและคนไทย จะอยู่กันอย่างไร?!