สัปดาห์ก่อน เราขอให้ Hope ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาเป็นผู้ช่วยหาข้อมูลว่าผู้คนในแวดวงธุรกิจเอกชน และการเมืองส่วนใหญ่เขาพูดถึงใครกันบ้างที่อยากให้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก...(คนใหม่)

แทนที่ นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯเจนวายผู้พลาดท่าเสียทีในเกมการบ้านการเมืองให้กับตาเฒ่าจอมปล้ินปล้อน ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต สองพ่อลูกตระกูลฮุน ผู้ปกครองประเทศเขมรมาอย่างยาวนานจนเสมือนเป็นกษัตริย์แทนที่เจ้านโรดมสีหนุมุนี กษัตริย์เขมรตัวจริงไปแล้ว

Hope ได้ไปคัดกรองบุคคลที่มีความเหมาะสมในหลายด้านมาให้เลือก 3 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน ท่านใดสนใจกลับไปหาอ่านได้ที่เว็บไทยรัฐออนไลน์ 

ส่วนวันนี้ขอนำเสนอความเห็นที่น่าสนใจของ ดร.วรภัทร(ศ.ดร.วรภัทร โตธนะเกษม) เกี่ยวกับเรื่อง “ผู้นำอายุน้อย” มาให้อ่านเพื่อเป็นข้อคิดกันพอหอมปากหอมคอ

เริ่มกันเลย ... วิพากษ์วิจารณ์กันมานานเรื่อง ผู้นำอายุน้อย และขาดประสบการณ์ในการบริหาร แต่ขณะเดียวกัน เราก็พูดกันจนเป็นกระแสสังคมว่า คนรุ่นเก่าในทุกวงการควรถอยห่าง และผันตัวออกมาเป็นผู้สนับสนุนเพื่อให้คนรุ่นใหม่ที่ทันสมัยกว่า เข้ามามีบทบาทแทน

เมื่อกระแสสังคมดูเหมือนจะยังสับสนอยู่เช่นนี้ ผมจึงถามตัวเองว่า ในช่วง 5 - 10 ปีที่ผ่านมา มีประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศใช่ไหมที่ได้ผู้นำอายุน้อย จึงควรจะถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจติดตาม

ผมได้ชื่อผู้นำอายุน้อยมา 4 คนจาก 4 ประเทศครับ เรียงตามลำดับอายุ ได้ดังนี้ Emmanuel Macron ของ ฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อเริ่มดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมีอายุเพียง 39 ปี 

...

ตามด้วย Jacinda Ardern ของ นิวซีแลนด์ อายุเมื่อดำรงตำแหน่งน้อยลงไปอีกคือ แค่ 37 ปี เท่านั้น

อีกสองคนคือ Sanna Marin ของ ฟินแลนด์ ที่ยิ่งน่าทึ่ง เพราะเมื่อดำรงตำแหน่ง อายุเพียง 34 ปี เท่านั้นเอง และที่น่าทึ่งสุดๆ ก็คือ Sebastian Kurz ของ ออสเตรีย ซึ่งมีอายุเพียง 31 ปี เมื่อวันที่เข้าดำรงตำแหน่ง

“ตายแล้วเรา! ตอนอายุ 31 ปี หลายคนยังไม่ค่อยจะเป็นผู้เป็นคนเอาด้วยซ้ำไป แต่เจ้าหมดนี่ชนะการเลือกตั้งจนได้เป็นผู้นำประเทศไปแล้ว” ดร.วรภัทร นึกในใจแบบเดียวกับพวกเรา

ที่น่าสังเกตก็คือ ผู้นำอายุน้อยทั้ง 4 คนดำรงตำแหน่งได้นานทีเดียว อย่าง Macron เป็นผู้นำฝรั่งเศสจนถึงวันนี้ รวม 8 ปี  ส่วน Ardern ของ นิวซีแลนด์ ก็อยู่ในตำแหน่งนานถึง 6 ปี และได้ตัดสินใจลาออกก่อนครบกำหนดเพราะรู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยกับภารกิจ และอยากกลับไปดูแลครอบครัว

ส่วน Marin แห่ง ฟินแลนด์ อยู่ครบ 3 ปี ก็นานพอสมควร และ Kurz แห่งออสเตรีย ซึ่งอายุน้อยที่สุดเพียง 31 ปี เท่านั้น ก็อยู่ได้ 2 สมัยรวม 4 ปี 

สรุปว่า ผู้นำอายุน้อย ไม่น่าจะใช่ประเด็น เพราะผู้นำเหล่านี้ก็อยู่ได้ค่อนข้างนาน ผมจึงค้นหาข้อมูลต่อไปอีกว่าการที่ผู้นำอายุน้อยจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น น่าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง?

การค้นคว้าทำให้ได้  “แนวคิด” ที่สรุปออกมาชัดเจนว่าผู้นำอายุน้อย แม้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ก็ควรมี “โปรไฟล์ความพร้อม” (Readiness Profile) ดังนี้

  1. มีคุณธรรมสูง ได้รับความเชื่อถือจากสาธารณชน (Strong Moral Character and Public Trust)
  2. มีประสบการณ์เป็นผู้นำเชิงก้าวหน้าอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป (More than 10 years of Progressive Leadership Experience)
  3. ผ่านบทพิสูจน์ในการตัดสินใจภายใต้ภาวะวิกฤตที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว  (Crisis Tested Decision-Making Ability)
  4. เข้าใจกลไกการทำงานของภาครัฐ  และ สถาบันต่างๆ ในสังคมอย่างลึกซึ้ง (Deep Institutional Knowledge)
  5. มีความพร้อมทางอารมณ์ และทักษะในการสร้างทีม (Emotional Intelligence and Coalition Building Skills) 

ประเด็นเหล่านี้ ผู้นำแต่ละคนย่อมมีมากน้อยแตกต่างกันไป แน่นอนว่า ผู้นำคนใดมีครบทั้ง 5 ข้อ และแข็งแรงทั้ง 5 ข้อ ก็ควรจะเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้จะอายุน้อยก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ดร.วรภัทธ ให้ความเห็นว่า ไม่ใช่เฉพาะผู้นำอายุน้อยหรอก ต่อให้ผู้นำอายุ 50,60 หรือมากกว่านั้น ก็ควรจะมี “โปรไฟล์ความพร้อม” ทั้ง 5 ข้อนี้เช่นกัน

ทั้ง 5 ข้อนั้น ผมว่าสำคัญทุกข้อ ผมจะลองสมมติตัวอย่างว่าผู้บริหารที่ทำงานภาคเอกชนมานานมากจนเกษียณอายุ หรือ ใกล้เกษียณแล้ว มีประสบการณ์ทำงานเพียบ และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมาทุกรูปแบบ แต่ถ้าไม่คุ้นเคยกับกลไกการทำงานของรัฐ และองค์กรภาครัฐเลย คือ ขาดโปรไฟล์ ข้อ 4…

แบบนี้ถ้าให้เข้าไปดำรงตำแหน่งระดับผู้นำประเทศ รับรองว่า แค่เจอปัญหาใหญ่ให้ตัดสินใจครั้งแรก ก็คงมึนตึบแล้ว เพราะนึกไม่ออกว่ามีหน่วยงานไหนเกี่ยวข้องบ้าง และจะต้องพยายามเรียนรู้อย่ารวดเร็วจากที่ปรึกษาต่างๆ เป็นต้น

ดร.วรภัทธ พยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้นำอายุน้อยเหล่านี้ เมื่อระยะเวลาผ่านไปแรมปี แต่ละคนประสบความสำเร็จหรือไม่ อย่างไร?

ก็ได้คำตอบว่า  Macron แห่ง ฝรั่งเศส ถือว่า ประสบความสำเร็จมาจนถึงปัจจุบันเพราะเขาปรับตัวได้เก่ง เข้าใจระบบ และมีพลังขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

ส่วน Ardern แห่งนิวซีแลนด์ ประสบความสำเร็จเช่นกัน จากการมีภาวะผู้นำที่ดีเยี่ยม แต่เมื่อเหนื่อยล้า เธอได้ขอลาออกเพื่อไปดูแลครอบครัว เป็นเรื่องธรรมดา 

ส่วน Marin แห่ง ฟินแลนด์ โดยรวมถือว่า ประสบความสำเร็จ เพียงแต่โดนพิษภัยเศรษฐกิจทำให้แพ้การเลือกตั้งซึ่งเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย

ส่วนคนที่ล้มเหลวที่สุดก็คือ Kurz หนุ่มน้อยจากออสเตรีย ซึ่งขาดความโปร่งใส จนกลายเป็นผู้ต้องคดีอาญา จากการถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของกระทรวงการคลังจ้างบริษัทสื่อ และจ้างสถาบันทำโพลเพื่อจัดทำผลสำรวจปลอม และเผยแพร่ผลโพลที่ชื่นชมเขา ผ่านสื่อกลุ่มหนึ่งที่เขาควบคุมได้ด้วยการจ่ายเงินโฆษณา

การทำเช่นนั้นก็เพื่อปูทางให้เขาได้เป็นหัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรี และในที่สุดเมื่อเรื่องถูกเปิดเผย เขาก็ต้องลาออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศ เพราะสอบตกโปรไฟล์ข้อแรกของการมีคุณธรรม และความเชื่อถือจากสาธารณชน

ข้อมูลที่หามาทั้งหมดนี้ สรุปได้ว่า การศึกษา 4 ผู้นำอายุน้อยของประเทศพัฒนาแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า อายุผู้นำน้อย ไม่ใช่ปัญหา! เพียงแต่ต้องประเมินกันที่ โปรไฟล์ความพร้อม(Readiness Profile) ว่าแต่ละคนมีไหม และมีมากน้อยเพียงใด

มาถึงตรงนี้ ดร.วรภัทร แนะนำให้ไปประเมินกันเอาเองดีกว่า!!

ในฐานะคร่ำหวอดกับข่าวการเมือง และเศรษฐกิจ รวมถึงสังคมของประเทศไทยมานาน เคยเห็นนักการเมืองที่มีโปรไฟล์ครบแบบนี้ในประเทศไทยจริงๆ ไม่เกิน 5 คน…

ทำให้สงสัยว่า เราจะยังถือว่าประเทศไทย เป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่ได้อย่างไร?!