เปิดอก "ดร.เอ้ สุชัชวีร์" กับภารกิจใหญ่ หลังตัดสินใจโบกมือลาพรรคประชาธิปัตย์ สู่การตั้งพรรคการเมืองใหม่ ชูธงเรื่องการศึกษา สร้างทรัพยากรคน หวังพลิกโฉมประเทศไทยในอนาคต

วันที่ 8 ก.ค. 68 ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ นายกสภามหาวิทยาลัย CMKL มหาวิทยาลัยเอไอแห่งแรกของประเทศไทย เปิดเผยในรายการ NEWSROOM HOT-ISSUES ที่มี “กาย พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ” ทำหน้าที่เป็นพิธีกร ได้พูดคุยกันถึงเรื่องเส้นทางการเมือง หลังเดินออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ ดร.เอ้ สุชัชวีร์ เปิดเผยว่า ตนเองเข้าสู่การเมืองอย่างเป็นทางการตอนมาลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แม้ไม่ได้สมหวังแต่ได้คะแนนอันดับ 2 ก็ต้องขอขอบคุณประชาชนที่สนับสนุน

ส่วนจุดเปลี่ยนสำคัญที่เดินออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ดร.เอ้ สุชัชวีร์ กล่าวว่า อันดับแรกคือไม่มีความขัดแย้ง พรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นโรงเรียนการเมืองที่ดี ได้เรียนรู้และได้ประสบการณ์ทางการเมืองที่มีคุณค่า แต่ทุกวันนี้เราเจอวิกฤติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาษีทรัมป์ วิกฤติการเมือง วิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติทางสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาความมั่นคง และที่หนักหนาที่สุดคือ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยไหลลงอย่างน่ากลัวที่สุด ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ตัดสินใจ

ก่อนที่ตนจะมาทำงานทางการเมือง ก็ได้ทำงานที่มีเกียรติมามากมาย แต่ก็ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง ลาออกทั้ง 21 ตำแหน่งเพื่อมาลงสนามการเมือง คือตั้งใจเอาพลังความรู้ ประสบการณ์ที่มีทั้งหมดมาเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้ดีกว่าเดิม และมีโอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศ ได้เดินทางไปทั่วโลก มองว่าประเทศไทยไม่ควรมาถึงวันนี้ เรากำลังจะแพ้เวียดนามอยู่แล้ว หากไม่ทำอะไรก็คงจะแพ้แน่นอน ตนมองว่า เรายอมไม่ได้อีกต่อไป นี่คือเหตุผลหลักที่ก้าวออกมาเพื่อเดินทางตามความฝันและอุดมการณ์ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ และจะชูเรื่อง "การศึกษา" เป็นพระเอกในการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ได้ 

...

จึงต้องตั้งพรรคการเมืองใหม่ ต้องเป็นพรรคการเมืองที่ทำสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งแรกก็คือ "การศึกษา" สังเกตว่าในประเทศที่ประสบความสำเร็จ กระทรวงศึกษาธิการถือเป็นกระทรวงพระเอก ไม่ว่าจะเป็น เกาหลี ไต้หวัน จีน สิงคโปร์ เวียดนาม เขาทำให้การศึกษาให้เป็นพระเอก เพราะไม่มีทรัพยากรใดสำคัญเท่ากับ "ทรัพยากรคน"

เมื่อถามถึงปัญหาการศึกษาในประเทศไทย ดร.เอ้ สุชัชวีร์ กล่าวว่า เกิดจากการที่คนไม่ให้ความสนใจกระทรวงศึกษาธิการ แม้การเมืองจะพูดถึงเรื่องการศึกษาแต่ไม่ทำ แม้ลงมือทำก็ทำไม่ต่อเนื่อง วันนี้เศรษฐกิจไทยไหลลง นั่นหมายความว่า ความสามารถในการแข่งขันของเราลดลง เพราะเราไม่มีคนที่มีทักษะไปสร้างเศรษฐกิจใหม่

วิกฤติระบบการศึกษาไทย ไม่ปฏิรูป ประเทศไม่รอด

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ กล่าวว่า ประเทศไทยเรียนเอาวุฒิบัตร ดังนั้นเราจะต้องเปลี่ยน วุฒิบัตรให้เป็นวุฒิภาวะให้ได้ หมายความว่า คุณจะต้องทำงานได้ ทำงานเป็น มีวินัย หลักสูตรจะต้องสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง และให้โอกาสทางการศึกษาจริงๆ

"วันนี้การศึกษาต้องให้โอกาสคนจริงๆ ทุกวันนี้เด็กไทยเกิดน้อยลง แสดงว่าจำนวนเด็กน้อยลง การดูแลต้องเพิ่มขึ้นได้ เชื่อไหมว่า สิงคโปร์ลงทุนกับเด็กต่อหัว 86,600 บาท มากกว่าไทยลงทุนเกือบ 20 เท่า ในอนาคตมหาวิทยาลัยจะต้องเรียนฟรีให้ได้ การแก้ปัญหาการศึกษาต้องคิดถึงใจเขาใจเรา ต้องคิดว่าเราเป็นผู้ปกครอง ต้องคิดว่าเราเป็นผู้ประกอบการ ไม่ใช่ผลิตคนไปแล้วต้องนำไปฝึกใหม่"

การศึกษาไทย มาพร้อมกับความเหลื่อมล้ำ ความเหลื่อมล้ำแม้จะไม่หมดในรุ่นเรา แต่เราสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ หากผู้นำรู้ว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไร เพราะงบประมาณการศึกษาไม่น้อยแต่นำไปใส่ผิดจุด ไม่นำไปใช้ในเรื่องการพัฒนาคน จึงจะยั่งยืน

เมื่อถามว่าบทบาททางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้อย่างไร ดร.เอ้ สุชัชวีร์ กล่าวว่า พรรคที่ชูธงเรื่องการศึกษา จะเป็นธนูดอกแรกในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งการจะทำพรรคการเมืองใหม่นั้น คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ถือว่าเป็นปูชนียบุคคลทางด้านการศึกษา เป็น 1 ในเป้าหมายที่ชวนมาร่วมทำงาน ในวันนี้ก็จะพยายามเดินสายดึงคนที่รักประเทศไทยให้มาช่วยและเริ่มต้นทางการศึกษา เพื่อเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจใหม่ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย สร้างค่านิยมสนับสนุนคนเก่งคนดี

สำหรับชื่อพรรคนั้น ยังไม่ลงตัว แต่ต้องเป็นชื่อที่ต้องจำง่าย และรู้ว่าเราจะทำอะไร ชื่ออาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง การจำง่ายก็ดีแต่แม้จะจำยากในตอนต้น แต่หากประชาชนเห็นว่าเราตั้งใจทำจริง สร้างความเชื่อมั่นให้เขา เรื่องของอุดมการณ์ นโยบายอาจจะมีส่วนสำคัญมากกว่าชื่อพรรคด้วยซ้ำไป

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า สิ่งที่เราพูดกันอยู่อาจจะไม่เหมือนเดิม ตนเชื่อว่า ประชาชนที่เบื่อการเมืองจะเลือกพรรคการเมืองจาก การที่พรรคจะทำอะไรให้กับเขา คิดว่าประชาชนจะเลือกจากจุดนั้นมากกว่า สำหรับอุดมการณ์ของพรรคที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ 1. รักประเทศชาติมากกว่าตนเอง 2. ต้องมีความกล้าหาญ คือกล้าที่จะปรับเปลี่ยน และ 3. ต้องนำด้วยพลังความรู้

นอกจากการศึกษาแล้ว พรรคการเมืองต้องทำทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยที่สุด พรรคการจะต้องชูสักเรื่อง นั่นคือ การสร้างคน เป็นธนู 4 ดอก คือ 1. การสร้างคน 2. สร้างเศรษฐกิจใหม่ 3. สร้างคุณภาพชีวิต 4. สร้างค่านิยมใหม่ ด้วยความดีความรู้ แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า ตนเองในฐานะเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย CMKL มีแผนจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์หน้า เพื่อเจรจากับทุนฟุลไบรท์ (Fulbright Scholarship) สถาบันการศึกษาชั้นนำอย่าง Carnegie Mellon University (CMKL) เพื่อหาพันธมิตรมาช่วยพัฒนาประเทศไทย ให้ทุนเด็กไทยมากขึ้น

เมื่อถามถึงเรื่องแรงจูงใจให้เด็กไทยที่ได้ทุนกลับมาทำงานที่ประเทศไทย ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ยอมรับว่า เคยจูงใจมาหลายคน แต่กลับมาประเทศไทยได้ไม่นานก็กลับไปต่างประเทศ สิ่งที่ทำให้เขาอยู่ไม่ได้คือ ประเทศไทยไม่มีทิศทาง และเป็นห่วงอนาคตของลูก หากอยู่ในไทยจะต้องเก็บเงินจ่ายค่าเรียนราคาแพง แต่ในต่างประเทศแค่จ่ายภาษีแล้วก็ได้เรียนฟรี ที่สำคัญคือ คนเก่งต้องการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นการที่จะทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงได้คือ ตนต้องมาทำการเมือง

ทุกวันนี้ นักธุรกิจต่างประเทศมาทำโรงงานในไทย พนักงานแทบไม่มีคนไทยเลย มีแต่คนเมียนมา คนกัมพูชา แต่ต้องจ่ายในราคาคนไทย เขาก็คิดว่าทำไมไม่ย้ายไปต่างประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า ซึ่งในเวียดนาม ค่าแรงต่ำ แต่ทักษะสูง เราจึงต้องยกระดับทักษะคนไทย.