ต้องยอมรับว่ารัฐบาลมีความพยายามจะเร่งมือแก้ไขความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจประเทศไทยให้สามารถผ่านแรงกดดันจากวิกฤตการณ์ต่างๆ ทั้งทางด้านการส่งออก และการท่องเที่ยวไปให้ได้โดยเร็วที่สุด

ด้วยการปรับองคาพยพขององค์กรอันเป็นส่วนสำคัญในการทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ และการขยายตัวของจีดีพีประเทศให้อยู่ในระดับที่ไม่ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบกระเทือนจนเกินไป 

นับแต่การปรับทัพโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงการคลัง ตามการปรับเปลี่ยนผู้นำ และกำลังพลของฝ่ายข้าราชการทหาร ตำรวจ และ พลเรือน ไปจนถึงการมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ซึ่งไม่ใช่ลูกหม้อของ ธปท.หรือ แบงก์ชาติ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

โจทย์ใหญ่ ยาก และหิน สำหรับกระทรวงการคลัง และผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนใหม่อย่าง วิทัย รัตนากร อดีตผู้อำนวยการใหญ่ธนาคารออมสิน คือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งหมายรวมถึงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม 43 สาขาของประเทศให้สอดรับกับความต้องการของตลาดโลก และ การกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ

พร้อมกับการดูแลไม่ให้เศรษฐกิจระยะสั้นในช่วงปีสองปีนี้ ชะลอตัวลงต่ำเกินไป เริ่มจากการแก้ไขหนี้ครัวเรือนซึ่งสูงถึง 91.5% ของ จีดีพี หรือคิดเป็นมูลค่าราว 16 - 17 ล้านล้านบาท

รัฐบาล โดยกระทรวงการคลังยังคงเชื่อมั่นว่า หากแบงก์ชาติประกาศทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 - 0.5% จาก 1.75% ต่อปีตามลำดับ อย่างน้อยก็เพื่อสร้างแรงกดดันให้เกิดการปรับลดภาระจากอัตราดอกเบี้ยของหนี้สินครัวเรือนซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่อยู่อาศัย และหนี้ส่วนบุคคลซึ่งรายรับไม่เพียงพอกับรายจ่าย

แม้ว่าก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังจะมอบหมายให้แบงก์ชาติจัดทำโครงการ“คุณ สู้ เราช่วย” เพื่อช่วยลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่ยังไม่ถูกจัดชั้นเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ(NPL) แต่โครงการดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ ความเห็นเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ จึงยังเป็นความต้องการของรัฐบาลอยู่

...

เรื่องต่อมาคือ การดูแลให้มีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่พบว่า การปล่อยสินเชื่อของแบงก์พาณิชย์ลดลงถึง 16% ในปีนี้ โดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่จำนวนไม่น้อย ถูกยื่นเงื่อนไขให้ชำระหนี้ที่กู้ไปตามกำหนดระยะเวลาแม้สภาพเศรษฐกิจจะผันผวนรุนแรง และกำลังซื้อหดหายไปจำนวนมาก โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวที่หายไป

ที่ผ่านมา คงมีแต่แบงก์รัฐในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.), ธนาคารเพื่อการส่งออก - นำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank), ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร (ธกส.), และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.หรือ SMEs Bank) เท่านั้น ที่ทำคลอดมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้า

ประเด็นสำคัญที่ตามมาติดๆ ก็คือ เงินบาทซึ่งแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (32.10 - 32.30 บาท) แม้จะมีข่าวจากการปรับขึ้นอัตรา “ภาษีตอบโต้ทางการค้า” ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ บดขยี้ประเทศไทยในอัตรา 36% ของลูกค้าการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ แต่เงินบาทยังคงแข็งโป๊ก

นักวิเคราะห์การเงินหลายสำนักให้ความเห็นต่อการเปลี่ยนแปลงตัวผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ จากกลุ่มบุคคลที่เคยเป็นลูกหม้อ กับกลายเป็นนายแบงก์คนนอกว่า จากนี้ไป ค่าเงินบาทภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนใหม่ที่มีรัฐบาลหนุนหลังอยู่ น่าจะอ่อนตัวลงตามลำดับ เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะปรับลดลงตามนโยบายรัฐบาล 

แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง ระบบการเงินโลกที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพิ่งสร้างระบบคู่ขนานกันระหว่างเงินสกุลดิจิทัลที่จับต้องไม่ได้ให้สามารถจับต้องได้ คู่ขนานไปกับสกุลเงินที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นผู้กำหนดมูลค่าในรูปของธนบัตร และเหรียญซึ่งในภาษานักการเงินเรียกว่า Fiat Currency  

เรื่องของเรื่อง จึงไม่ง่ายที่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้อย่างที่คิด ที่สำคัญก็คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจใช้ไม่ได้ผลกับการทำให้ค่าเงินบาทอ่อนด้วย!

โจทย์ยากที่สุดอีกเรื่องก็คือ ความพยายามสร้างระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ที่แบงก์ชาติไม่เคยยอมรับ หรืออนุญาตให้ดำเนินการ ก็คือ ระบบเงินดิจิทัล หรือ สกุลเงินที่เรียกว่า คริปโต เคอร์เรนซี (Crytocurrency)

แม้รัฐบาลชุดนี้ พยายามอย่างมากที่จะแจกเงินจากกระเป๋าเงินดิจิทัล และประสงค์จะนำเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการเงินใหม่นี้เข้ามาใช้ในประเทศไทย โดยพยายามจะทดลองใช้ที่จังหวัดภูเก็ตซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก แต่รัฐบาลก็ไม่มีอำนาจดำเนินการ หรือกำหนดมูลค่านี้ในประเทศไทย 

วิทัย รัตนากร ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนใหม่ จะสามารถรับมือกับความกดดันในความเปราะบางของเศรษฐกิจ และโจทย์ยากทางการเงินให้รัฐบาลได้หรือไม่? เพียงใด เห็นจะต้องติดตามดูกันอย่างใกล้ชิด

เพราะผลพวงการดำเนินการใดๆ ในเรื่องเงินๆ ทองๆ ล้วนเกี่ยวข้องแน่ๆ กับกระเป๋าเงินของหมู่เฮาคนไทย...โดยเฉพาะผู้ที่มีเงินฝากในบัญชีเยอะๆ!!