“ภูมิธรรม” เปิดทำเนียบฯ เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน 31 บริษัทชั้นนำระดับโลก ยืนยัน รัฐบาลพร้อมปรับกลไก-พัฒนาบุคลากร สู้ “ภาษีทรัมป์” ดึง 6 บริษัท ลงนามลงทุน 5.1 หมื่นล้าน
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 6 ส.ค.2568 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว. มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการหารือระดับสูงนักลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทย ในงาน “Prime Minister Meets Investors: Confidence in Thailand's Future - Prime Minister's Dialogue with Global Investors” โดยมี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ นายนฤตม์ เทอดเสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ผู้บริหารบริษัทชั้นนำ กว่า 31 บริษัท จาก 4 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์,ยานยนต์ไฟฟ้า,ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio - Circular - Green Economy) ร่วมหารือ
มั่นใจทำธุรกิจในไทยถูกกติกาโลก
นายภูมิธรรม กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกคน ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาร่วมหารือกับผู้บริหารระดับสูง จากกลุ่มบริษัทชั้นนำของโลก ที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศไทย การรับมือกับความไม่แน่นอนจากอัตราภาษีสหรัฐฯที่เป็นปัญหาใหญ่ของโลก จากการที่สหรัฐฯประกาศอัตราภาษีใหม่และประเทศไทย ถูกเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้า 19% ซึ่งรัฐบาลไทยเข้าใจถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และกติกาการค้าโลก เราจึงมุ่งมั่นที่จะอาศัยโอกาสนี้ในการปรับปรุงกลไกต่างๆเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจที่ดำเนินการในประเทศไทยสอดคล้องกับกติกาโลก และลดความเสี่ยงต่างๆที่จะส่งผลกระทบกับภาคเศรษฐกิจ
...
เตรียมพร้อมพลังงานสะอาด
พร้อมยืนยันด้วยว่า รัฐบาลมีความจริงใจและความมุ่งมั่นที่จะรักษาและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการธุรกิจของท่านให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งด้านระเบียบที่เอื้ออำนวยในการประกอบธุรกิจ การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง การเตรียมความพร้อมด้านพลังงานสะอาด และการเดินหน้าเจรจาเปิดตลาดการค้ากับ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก การสร้างความสามารถในการเข้าถึงตลาดโลก
ชูข้อตกลงการค้าสำเร็จแล้ว 17 ฉบับ
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีข้อตกลงทางการค้า 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ และเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมกับหลายประเทศ รวมทั้งกลุ่มอียู เกาหลีใต้ และแคนาดา ซึ่งจะช่วยเพิ่มความได้เปรียบของผู้ประกอบการและการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปยังผู้บริโภคกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และการพัฒนากลไกพลังงานสะอาด เพื่อรองรับธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG ที่รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างกลไกเพื่อรองรับการดำเนินงานธุรกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG เมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดให้บริการกลไก Utility Green Tariff แบบที่ 1 หรือ UGT1 ให้บริการพลังงานสะอาดพร้อมเอกสารรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยมีบริษัทให้ความสนใจกว่า 40 ราย และปีนี้เราตั้งเป้าที่จะเปิดให้บริการ Utility Green Tariff แบบที่ 2 UGT 2 ที่เป็นพลังงานสะอาด สามารถระบุแหล่งที่มาและแหล่งพลังงานใหม่
ซื้อไฟสะอาดได้โดยตรง
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังมีกลไก Direct Power Purchase Agreement หรือ Direct PPA ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อไฟจากผู้ผลิตได้โดยตรง โดยผู้ผลิตสามารถส่งพลังงานสะอาดที่ผลิตได้ ผ่านสายส่งของรัฐโดยจะเริ่มให้บริการพลังงานสะอาด 2,000 เมกะวัตต์กับกลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องการใช้พลังงานสูง และมี Commitment ในระยะยาว ทั้งนี้หากการให้บริการล็อตแรกเป็นไปด้วยดี รัฐบาลพร้อมที่จะพิจารณาขยายกลไกให้ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่นต่อไป
แลกเปลี่ยนสร้างความเชื่อมั่น
จากนั้นนายภูมิธรรม ได้แถลงผลการหารือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทย ว่า รัฐบาลไทยได้เชิญผู้บริหารระดับสูงจาก 31 บริษัทชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยทุกบริษัทมีการลงทุน รวมถึงการขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5.5 แสนล้านบาท มีการจ้างงานรวมกว่า 53,000 ตำแหน่ง มาร่วมแลกเปลี่ยนและสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนและการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญนี้ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 19%
มั่นใจประโยชน์ไทยได้รับความรู้
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ความพยายามของรัฐบาลในการชักจูงการลงทุน ไม่เพียงขับเคลื่อนกลไกทางเศรษฐกิจด้านการลงทุนและการจ้างงานเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านสังคม เกิดการถ่ายทอดความรู้ ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการสร้างบุคลากรที่มีทักษะสอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ และดิจิทัล นอกจากนี้ ยังเกิดการถ่ายทอดความรู้และความช่วยเหลือให้แก่เกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตและการเพาะปลูกที่สอดคล้องกับมาตรฐานของโลก สร้างความสามารถในการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปต่างประเทศ โดยนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ
6 บริษัทลงนามลงทุน 5 หมื่นล้าน
นายภูมิธรรม กล่าวว่า โดยภายหลังการหารือกับนักลงทุนทั้ง 31 บริษัทนี้ ตนจะร่วมเป็นพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา บีโอไอ และผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ชั้นนำระดับโลก 6 ราย ซึ่งมีเงินลงทุนรวมกว่า 51,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรม โดยความร่วมมือนี้จะก่อให้เกิดการจ้างงานทันที 1,880 อัตรา รวมกันไม่น้อยกว่า 3,000 อัตราภายใน 5 ปี เกิดการพัฒนาหลักสูตรร่วมกันระหว่างสถานศึกษาอาชีวะและภาคอุตสาหกรรม ความร่วมมือนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่านอกจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศแล้ว ยังเกิดการยกระดับพัฒนาบุคลากรไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนระดับอาชีวะ พร้อมยกระดับทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ซึ่งในกลุ่มนี้มีทั้งบริษัท PCB ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และผู้นำของไทยร่วมลงนามในครั้งนี้ด้วย
มั่นใจต่อยอดภาคเกษตร-การศึกษา
นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า การลงทุนจากบริษัทระดับโลกเหล่านี้ ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโต สร้างรายได้หมุนเวียนภายในประเทศหลายแสนล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังช่วยต่อยอดไปยังภาคเกษตรกรรม การศึกษา และธุรกิจท้องถิ่นในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม