ที่มามาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมืองจากรัฐธรรมนูญปี 2560 มาจากไหน

รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่เขียนโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้บัญญัติสิ่งที่เรียกว่ามาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมือง ซึ่งแม้ว่าในราชกิจจานุเบกษาจะระบุเอาไว้ว่ามาตรฐานทางจริยธรรมจะมีชื่อเต็มๆ ว่า มาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ซึ่งแม้จะฟังแล้วเหมือนเป็นการบังคับใช้เฉพาะกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระก็จริง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ถูกบังคับใช้กับนักการเมืองด้วย

สิ่งที่เรียกว่า มาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมืองจากรัฐธรรมนูญ มีความยาวทั้งหมด 5 หน้า มีด้วยกัน 4 หมวด ได้แก่ 1. มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ 2. มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก 3. จริยธรรมทั่วไป และ 4. การฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม 

นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิในคดีผิดมาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง

ปารีณา ไกรคุปต์
ปารีณา ไกรคุปต์

...


ในช่วงที่ผ่านมา มาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมืองได้ถูกนำมาใช้กับนักการเมืองหลายต่อหลายคน ซึ่งหนึ่งในนักการเมืองที่มีชื่อเสียงและถูกตีความว่า “ผิดมาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมือง” ก็จะมีในกรณีของปารีณา ไกรคุปต์ อดีตสส.พรรคพลังประชารัฐ ในคดีรุกที่ดินรัฐ พรรณิการ์ วานิช อดีตสส.พรรคอนาคตใหม่ ก็ถูกพิจารณาว่า “ผิดมาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมือง” เช่นกัน จากการโพสต์ภาพและข้อความในปี 2553 ซึ่งในเวลานั้นเธอยังไม่ได้เป็นนักการเมือง 

อย่างไรก็ตาม มาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมืองก็ยังคงถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง และคราวนี้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งนั่นก็คือเศรษฐา ทวีสิน ในกรณีการแต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 

ผลลัพธ์หลังจากที่ผู้ถูกร้องถูกตัดสินว่าผิดมาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมือง ดังเช่นในรายของปารีณา ไกรคุปต์ เธอถูกศาลฎีกาตัดสิทธิรับเลือกตั้งตลอดชีวิต ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง และตัดสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี 

พรรณิการ์ วานิช
พรรณิการ์ วานิช


ขณะที่ พรรณิการ์ วานิช ก็ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างจากปารีณา นั่นคือ เธอถูกศาลฎีกาตัดสิทธิรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ในกรณีของเศรษฐา ทวีสิน ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าผิดมาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมือง ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลเศรษฐาเป็นอันต้องพ้นทั้งคณะ และตัวของเศรษฐาก็ต้องพ้นตำแหน่งจากการเป็นนายกรัฐมนตรี

แพทองธาร ชินวัตร
แพทองธาร ชินวัตร


จนกระทั่งมาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมืองได้ถูกหยิบยกมาใช้อีกครั้งในกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย กับ จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา โดยที่คดีนี้ถูกยื่นทั้งต่อศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ทั้งสองช่องทาง

นอกจากนี้ ยังมีคดีมาตรฐานทางจริยธรรมที่อยู่ระหว่างการพิจารณานั่นคือ กลุ่ม 44 สส.ของพรรคก้าวไกล จากกรณีการเสนอแก้ไขมาตรา 112 

ช่องการร้องเอาผิดมาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผู้ที่ตัดสินว่าสิ่งนี้เป็นมาตรฐานจริยธรรม โดยหลักแล้ว ป.ป.ช. เป็นผู้ไต่สวน หากเห็นว่าผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อวินิจฉัย ส่วนกรณีความผิดอื่นอาจส่งอัยการสูงสุดฟ้องต่อศาลฎีกาฯ แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 

หากกรณีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าผู้ถูกร้องมีลักษณะและการกระทำที่ผิดตามที่ถูกร้อง ก็จะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งด้วยได้เช่นกัน แต่ไม่เกิน 10 ปี รวมถึงการตัดสิทธิการดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เศรษฐา ทวีสิน
เศรษฐา ทวีสิน


นอกเหนือจากช่องทาง ป.ป.ช. แล้ว รัฐธรรมนูญ 2560 ยังเปิดช่องให้ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสถานะ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ได้โดยตรงในกรณีขาดคุณสมบัติ หรือจริยธรรมของรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าขาดคุณสมบัติหรือฝ่าฝืนจริยธรรม ก็อาจทำให้นายกรัฐมนตรี พ้นตำแหน่ง และคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลงทั้งคณะได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการพิจารณาคดีนักการเมืองด้วยมาตรฐานทางจริยธรรม ในอีกด้านหนึ่งก็มีความเห็นว่าขอบเขตการพิจารณามาตรฐานจริยธรรมควรมีเกณฑ์อย่างไร นอกเหนือจากดุลพินิจของป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ