“ณัฐวุฒิ” แปลกใจพรรคประชาชนเร่งแถลงก่อนรัฐบาลแจงทูลเกล้าฯ ยุบสภา “พร้อมพงศ์” ย้ำ ยุบสภาเป็นพระราชอำนาจ เรียกร้องประธานรัฐสภา ชะลอบรรจุญัตติโหวตนายกฯ จนกว่าจะมีพระบรมราชวินิจฉัย


เมื่อเวลา 12.25 น. วันที่ 3 กันยายน 2568 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์การเมืองตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นต้นมา ว่า ตั้งแต่เช้าข่าวเหวี่ยงเร็วมาก

1. ข่าวออกตั้งแต่เมื่อวาน (2 กันยายน 2568) ว่าพรรคส้ม (พรรคประชาชน) จะแถลงวันนี้ 09.30 น. เช้าขึ้นมามีข่าวรัฐบาลจะแถลงตอน 09.00 น. หลังจากนั้นส้มเลื่อนเป็น 09.00 น.ด้วย และแถลงจริง 08.45 น. ไม่รู้ทำไมเร่งขนาดนั้น หรือว่าต้องการประกาศก่อนรัฐบาลจะแถลงว่ายุบสภา?

2. ก่อน 09.00 น. โฆษกพรรคเพื่อไทยบอกยื่นยุบสภาไปแล้ว หลังจากนั้นนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย, นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน จนถึง นายภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี พูดชัดว่ายื่นตั้งแต่เมื่อวาน ตรงนี้หลายคนบอกว่าเข้าเป้าส้ม แต่ดูเหมือนไม่มีใครพูดถึงเท่าไหร่

3. ส้มยืนยันมาตลอดว่า นายภูมิธรรม มีอำนาจยุบสภา เมื่อนายภูมิธรรม ยื่นยุบและอยู่ระหว่างรอพระบรมราชวินิจฉัย ซึ่งที่ผ่านๆ มาใช้เวลา 1-2 วัน ควรรอความชัดเจนตรงนี้ก่อนหรือไม่ เพื่อยุบสภาวันนี้ไม่ต้องรอ 4 เดือน หรือเดินหน้าบรรจุวาระเลือกนายกรัฐมนตรีให้น้ำเงินไปเลย ไม่ต้องรอ

ทางด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นกรณีที่มีความพยายามจะบรรจุวาระโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจ ไม่บังควรก้าวล่วง พร้อมเรียกร้องให้ประธานรัฐสภา ชะลอการบรรจุญัตติการโหวตนายกรัฐมนตรีออกไปจนกว่าจะมีพระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกายุบสภาให้สิ้นกระแสความเสียก่อน ขณะนี้ปรากฏชัดเจนว่า นายภูมิธรรม ได้ลงนามจัดทำพระราชกฤษฎีกายุบสภาและนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายตั้งแต่เมื่อวาน แต่วันนี้กลับปรากฏว่าพรรคประชาชนออกมาแถลงจับมือพรรคภูมิใจไทย เตรียมโหวตนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เป็นการดำเนินการภายหลังการถวายพระราชกฤษฎีกาแล้วอย่างชัดเจน

...

นายพร้อมพงศ์ เผยต่อไปว่า ตนมีความห่วงใย ไม่ต้องการเห็นภาพรัฐสภาล้มเหลว เพราะหากเดินหน้าโหวตนายกรัฐมนตรีในห้วงเวลานี้ อาจถูกมองว่าเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ จึงเรียกร้องไปยังประธานรัฐสภา สมาชิกรัฐสภา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ให้รอผลพระบรมราชวินิจฉัยต่อพระราชกฤษฎีกาเสียก่อน และควรเลื่อนญัตติการโหวตนายกรัฐมนตรีออกไปจนกว่าจะทราบแน่ชัด.