“ชูศักดิ์ ศิรินิล” กางรัฐธรรมนูญ ย้ำ “ภูมิธรรม เวชยชัย” มีอำนาจเสนอยุบสภา ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ บอก หากตีความรัฐธรรมนูญไปทางตันจะเกิดผลที่อันตราย
วันที่ 4 กันยายน 2568 นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีปัญหา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจที่ทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยได้หรือไม่ ว่า การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่อำนาจนายกฯ ดังที่ตั้งประเด็นกันว่า ผู้รักษาการในตำแหน่งนายกฯ มีอำนาจยุบสภาหรือไม่ ตามมาตรา 103 ของรัฐธรรมนูญ นายกฯ มีแต่เพียงอำนาจถวายความเห็นโดยเสนอ พ.ร.ฎ. ตามมาตรา 103 และมาตรา 175 เท่านั้น การตีความรัฐธรรมนูญควรตีความไปในทางที่สามารถใช้บังคับแก่เหตุการณ์ต่างๆ ได้ ไม่ใช่ก่อให้เกิดทางตัน การยุบสภาจะทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุเดียวกันตาม มาตรา 103 โดยไม่มีบทบัญญัติอื่นใดจำกัดอำนาจนายกฯ ในการถวายความเห็นให้ทรงตรา พ.ร.ฎ. ตามมาตรา 175 และเมื่ออำนาจใดเป็นของนายกฯ อำนาจนั้นย่อมเป็นของรองนายกรัฐมนตรีที่รักษาการแทนนายกฯ เพราะไม่มีข้อจำกัดไว้ในที่ใด
ส่วนคำกล่าวที่ว่าอำนาจเสนอร่าง พ.ร.ฎ. เป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายกฯ เป็นการคิดเอาเองตามทฤษฎี เช่น ถือว่านายกฯ ได้รับความไว้วางใจจากสภาฯ จึงควรเป็นบุคคลเดียวที่เสนอร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภา เป็นการนำทฤษฎีคนละเรื่องกันมาตีความนอกรัฐธรรมนูญ ถ้ารัฐธรรมนูญประสงค์จะให้ตีความเช่นนั้น ก็คงบัญญัติไว้แล้ว เช่น บัญญัติไว้ในมาตรา 167 (1) ว่ารัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลง ที่เป็นเช่นนี้เพราะแม้นายกฯ จะพ้นจากตำแหน่งโดยเหตุใด แต่เพราะนายกฯ มาจากความไว้วางใจของสภาฯ รัฐมนตรีอื่นทั้งคณะจึงต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย
...
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ว่าการตีความรัฐธรรมนูญต้องตีความไปในทางที่ใช้บังคับได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์สำคัญที่นายกฯ พ้นจากตำแหน่ง และยังคงมีรองนายกฯ รักษาการ แต่เหตุการณ์นั้นรุนแรงจนสมควรยุบสภา ก็จะหาทางออกด้วยการยุบสภาไม่ได้ อันก่อให้เกิดผลอันตรายและเสียหายตามมา อันจะเป็นทางตันไม่อาจแก้ปัญหาได้ รองนายกฯ รักษาการแทนนายกฯ จึงมีอำนาจในการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภา เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยได้ ส่วนจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประการใด ย่อมเป็นพระราชอำนาจเด็ดขาด ไม่อาจถูกทบทวนโดยศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรใดๆ ได้ ข้อที่ว่าผู้รักษาการในตำแหน่งนายกฯ ไม่เคยทูลเกล้าฯ ร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภา มาก่อน มิใช่เหตุผลที่จะตัดอำนาจดังกล่าว
ทั้งนี้ เป็นเพราะไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในอดีต จึงถือเป็นประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยไม่ได้ แท้จริงแล้วถ้าเกิดปัญหาขึ้นก็ต้องหาทางออกจนได้ ดังเช่น กรณีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายความเห็นให้ทรงยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อปีพุทธศักราช 2516 (หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516) ทั้งที่ไม่เคยมีประเพณีให้ยุบสภาที่มาจากการแต่งตั้ง และครั้งนั้นก็เคยสงสัยกันว่านายกฯ มีอำนาจเช่นนั้นหรือไม่ แต่ก็มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรในที่สุด
“จิรายุ” เย้ยพรรคประชาชนไม่เข็ด ภูมิใจไทยไม่โหวตให้ “พิธา”
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคประชาชนสนับสนุนให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า “ที่ผ่านมาพรรคประชาชนเรียกร้องมาตลอดว่า จะไม่ให้ใครเอา ม.112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเล่นงานใคร แต่ทำไมยังยืนยิ้มได้ ที่ปล่อยให้พรรคภูมิใจไทยที่ประกาศจับมือกันไปแจ้งความในลักษณะเช่นนี้ พรรคประชาชนจะต้องร่วมรับผิดชอบกับการตัดสินใจครั้งนี้อย่างเจ็บปวดเป็นครั้งที่ 2 จากที่ครั้งแรกยังไม่น่าจะเข็ดที่พรรคภูมิใจไทย เคยโหวตคว่ำไม่เอา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แม้แต่เสียงเดียว ในขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยทุกเสียงให้เกียรติ โหวตเลือกนายพิธา อย่างเต็มกำลัง ทำเป็นลืมไปได้”