“นิกร” ชี้ช่องจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับใหม่ อิงเส้นทางฉบับปี 2540 พร้อมแนะ 4 แนวทาง-กรอบเวลา เลือกตั้งทั่วไป ประมาณปลายเมษายน 2569
วันที่ 11 กันยายน 2568 นายนิกร จำนง ในฐานะอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวว่า ตนในฐานะอดีตที่ปรึกษา นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ร่วมทำงานช่วงการผลักดันให้มีองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมของประชาชนจากทุกจังหวัดบวกกับนักวิชาการจากทุกสถาบัน แล้วให้ความเห็นชอบสุดท้ายจากรัฐสภา เกิดเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ดำเนินการจนเกิดเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 แม้ต่อมาไม่มีการปรับปรุงแก้ไขจนมีปัญหาแล้วถูกฉีกทิ้งไปในที่สุด แต่ก็ยังถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ดังนั้น การเมืองไทยก็น่าจะดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2568 ที่เพิ่งออกมา แม้จะไม่ชัดเจนนักแต่ก็มีแนวทางที่จะดำเนินการให้มีการเริ่มต้นจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนในขั้นแรก คือการให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นคำถามหลักข้อแรก และอาจพร้อมด้วยคำถามที่ 2 ตามมาเกี่ยวกับวิธีการและเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งคงได้แค่นี้ภายในเวลาที่จำกัดของรัฐสภาชุดปัจจุบัน ตามสถานะข้อตกลงทางการเมืองที่ถูกกำหนดไว้แล้ว และอาจสามารถจัดทำประชามติดังกล่าวนี้พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่น่าจะเกิดขึ้นประมาณปลายเดือนเมษายน 2569
นายนิกร กล่าวต่อไปว่า ในฐานะผู้มีความคาดหวังอยากให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากประชาชนอันมีเป้าหมายสูงกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ออกมาเพื่อการปฏิรูปการเมือง แต่ฉบับใหม่นี้ควรมีเป้าหมายเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้หลุดจากวิกฤติในเกือบทุกๆ ด้านให้ได้ โดยอาศัยประชาชนร่วมกับรัฐสภา จึงขอร่วมเสนอกรอบแนวทาง และกรอบเวลาให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายได้ประกอบการพิจารณาร่วมกันผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พึงประสงค์ ดังนี้
...
1. ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคร่วมรัฐบาล จำนวนไม่น้อยกว่า 100 คน ร่วมกันเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาเป็น 3 วาระ ตามมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
2. เมื่อรัฐสภาเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้วให้รอไว้ 15 วัน จึงให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป ตามข้อบังคับการประชุมข้อ 134 แต่อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 135 ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงต้องมีการจัดทำประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
3. ให้ประธานรัฐสภาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ คือดำเนินการตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 คือ ให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบว่ามีกรณีต้องออกเสียงประชามติตามมาตรา 9 (1) และให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการกำหนดวันออกเสียงตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งต้องไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา
กรณีพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับแก้ไขเพิ่มเติมมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ให้มีการกำหนดวันออกเสียงตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งต้องไม่เร็วกว่า 60 วัน และไม่ช้ากว่า 150 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา โดยให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมโดยสรุปในลักษณะที่ประชาชนจะสามารถเข้าใจเนื้อหาสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้โดยสะดวกให้นายกรัฐมนตรีทราบพร้อมส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการต่อไป
4. รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้คงสามารถดำเนินการได้แค่นี้เท่านั้น ที่เหลือเมื่อยุบสภาแล้วการทำประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ก็ดำเนินการต่อเนื่องไป ถ้าประชามติข้อแรกโดยประชาชนเห็นชอบกับการให้จัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านไปได้ ก็ต้องดูว่ารายละเอียดข้อ 2 ที่สมควรมี ส.ส.ร. จากการเลือกตั้งโดยอ้อมแบบคล้ายกับตอนปี 2540 ผ่านหรือไม่ ถ้าผ่านก็จะมีการดำเนินการให้มี ส.ส.ร. มาร่วมกับรัฐสภาชุดใหม่หลังการเลือกตั้งดำเนินการต่อไปจนได้รัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับใหม่ที่ทุกคนเฝ้ารอ.