กรณีดราม่าในโลกโซเชียลขณะนี้ พุ่งเป้าโจมตี “อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และ รมว.วัฒนธรรม ป้ายแดง ว่ามีการคืนวัตถุโบราณจำนวน 20 รายการให้กับรัฐบาลกัมพูชา ท่ามกลางกระแสความนิยมที่ลดลงจาก “คลิปเสียง” สนทนาลับกับ “อังเคิล” ฮุน เซน ก่อนที่จะมีการตอบโต้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง และเตรียมเอาเรื่องคนที่ปล่อยเฟกนิวส์
สำหรับไทม์ไลน์ของ “วัตถุโบราณ” ที่ถูกพูดถึงอยู่นี้ เริ่มต้นจากการตรวจยึดของเจ้าหน้าที่ศุลกากรไทย จากการลักลอบนำเข้าวัตถุโบราณกว่า 43 รายการ จากประเทศสิงคโปร์ เมื่อปี 2543 หรือกว่า 25 ปีก่อน จึงมีการนำของกลางไปเก็บไว้ที่คลังพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นวัตถุโบราณจากที่ใด เพื่อส่งคืนประเทศต้นทาง
ต่อมา ในระหว่างปี 2552-2558 มีการตรวจสอบเสร็จสิ้น และยืนยันว่า วัตถุโบราณที่ตรวจยึดมาส่วนหนึ่ง จำนวน 23 รายการ มีต้นทางมาจาก “กัมพูชา” ประเทศเพื่อนบ้านของไทย จึงมีการดำเนินการส่งคืนตามกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อตกลงร่วมกัน
ขณะที่ 20 รายการที่เหลือนั้น ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า เป็นวัตถุโบราณของใคร เพราะมีความใกล้เคียงกันระหว่างของไทยและกัมพูชา จึงยังไม่ดำเนินการส่งคืนอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะตรวจพิสูจน์ทราบให้ถ่องแท้ก่อน
กระทั่งมาถึงในวันที่ 21 พ.ค.2567 ครม. ในขณะนั้น ได้มีมติให้ส่งวัตถุโบราณอีก 20 รายการที่เหลือ หลังผ่านการตรวจสอบแล้วเสร็จ ส่งคืนให้กัมพูชาประเทศต้นทาง ผ่านช่องทางบก ไปยังเมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยคาดไว้ว่าจะดำเนินการในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2568
แต่หลังจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ที่อยู่ระหว่างถูกปฏิบัติหน้าที่ และเพิ่งรับตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม ไปสดๆ ร้อนๆ เพียงไม่กี่วัน กลับโดนข่าวโจมตีว่า มีคำสั่งให้คืน 20 วัตถุโบราณแก่กัมพูชา จนล่าสุด ในการเข้าทำงานวันแรกที่กระทรวงฯ น.ส.แพทองธาร ชี้แจงกับที่ประชุมและสื่อมวลชนที่เข้ารับฟังว่า
...
ปัจจุบันเรื่องวัตถุโบราณดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมเพื่อจัดส่งคืน ซึ่งงบประมาณในปีปัจจุบันไม่เพียงพอในการขนส่ง และไม่เป็นเรื่องเร่งด่วนในการของบกลาง จึงต้องส่งเรื่องเพื่อขอตั้งงบประมาณของกระทรวง พร้อมทั้งสั่งให้มีการทบทวนไว้ก่อนด้วย ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักของทั้ง 2 ประเทศ
นอกจากนี้ น.ส.แพทองธาร เตรียมดำเนินคดีกับผู้ที่ปล่อยข่าวเฟกนิวส์ ทำให้ถูกโจมตีอย่างหนัก และกระทบกับความรู้สึกของคนไทยด้วย
อย่างไรก็ดี วัตถุโบราณ 20 รายการนี้ จะยังอยู่ที่ไทยต่อไป จนกว่าจะมีงบประมาณรอบใหม่ และจะมีความคลี่คลายของสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา