กรมที่ดินพร้อมเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกในที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ หลังแนวเขตที่ดินมีความชัดเจนและเป็นที่ยุติในชั้นศาล ปิดฉากข้อพิพาทกรมที่ดิน-รฟท.

คดีพิพาทที่ดินบริเวณเขากระโดง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นการถือครองที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยประชาชนในพื้นที่และบางส่วนมีการออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนนั้นได้ถูกตัดสินเป็นที่สิ้นสุดแล้ว ศาลฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นเป็นที่ยุติว่าที่ดินกว่า 5,000 ไร่ในบริเวณดังกล่าวเป็นของ รฟท.

คดีพิพาทที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งยืดเยื้อมานานกว่า 50 ปี ได้กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เมื่อกระทรวงมหาดไทยภายใต้การกำกับดูแลของรักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย ได้สั่งการให้ดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินในพื้นที่พิพาทจำนวนกว่า 5,000 ไร่ (995 แปลง) เพื่อคืนให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยอ้างอิงตามคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุดที่ระบุชัดเจนว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท.


การตัดสินใจครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เนื่องจากที่ดินส่วนหนึ่งเป็นที่ตั้งของธุรกิจสำคัญของตระกูลชิดชอบ ทั้งสนามฟุตบอลช้างอารีนา สนามแข่งรถช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต และโรงโม่หิน

...

เส้นทางคดีที่ดินเขากระโดง

 

คดีนี้มีจุดเริ่มต้นจากการที่บุคคลและนิติบุคคลบางกลุ่มได้เข้าครอบครองและออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินบริเวณเขากระโดง ซึ่ง รฟท. ได้ใช้เป็นพื้นที่สำหรับสัมปทานการทำเหมืองหินแร่ และได้สำรวจแนวเขตที่ดินร่วมกับกรมที่ดินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 และมีการรังวัดปักหลักเขตที่ดินชัดเจนในปี พ.ศ. 2503

 

ภายหลังได้มีการออกโฉนดในที่ดินของ รฟท. ซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งปี พ.ศ. 2560 ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินเขากระโดงเป็นของการรถไฟฯ แต่กระบวนการเพิกถอนโฉนดกลับไม่คืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็น จนกระทั่งมีการร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ ป.ป.ช. ให้เข้ามาตรวจสอบ


 

ความคืบหน้าล่าสุดและผลกระทบ

 

หลังจากที่มีการทวงถามความชอบธรรมอย่างต่อเนื่องจากฝ่ายการเมืองและภาคประชาชน กระทรวงมหาดไทยจึงได้เข้ามาตรวจสอบและยืนยันตามคำพิพากษาของศาล โดยมีคำสั่งให้กรมที่ดินเร่งดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกโดยมิชอบทันที

 

การดำเนินการครั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อหลายฝ่าย ทั้งเจ้าของธุรกิจและประชาชนกว่า 1,000 รายที่ถือครองโฉนดอยู่ในพื้นที่ และอ้างว่าได้มาอย่างสุจริต ซึ่งกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบเตรียมรวมตัวเพื่อฟ้องร้องกรมที่ดินและกระทรวงมหาดไทยในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อไป

 


ขณะเดียวกัน รฟท. ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่ครอบครองที่ดินสามารถเจรจาขอทำสัญญาเช่า หรือหากไม่สามารถตกลงกันได้ก็จะถูกดำเนินการฟ้องร้องขับไล่ตามกฎหมาย ส่วน DSI ก็กำลังขยายผลการสืบสวนเพิ่มเติมในประเด็นการฟอกเงินของผู้ครอบครองที่ดินที่เป็นนิติบุคคลด้วยเช่นกัน