เป็นเวลามากกว่า 100 ปี สำหรับเรื่องราวของ “เขากระโดง” จ.บุรีรัมย์ ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์อันยาวนานนับศตวรรษ เรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่าง การรถไฟฯ ทุนใหญ่ และชาวบ้าน ที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้
ย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2462 มีการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดแนวทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ เส้นทางนครราชสีมา–บุรีรัมย์–อุบลราชธานี โดยระบุเขตที่ดินที่จะใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟไว้ล่วงหน้า พร้อมประกาศห้ามบุกรุก หรือออกเอกสารสิทธิ์ใดๆ บนที่ดินบริเวณดังกล่าว แม้ยังไม่ได้ก่อสร้างทางจริงก็ตาม
เมื่อเวลาผ่านไป พบว่า ที่ดินเขากระโดงกลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนจำนวนมาก และในเวลาต่อมา ก็เริ่มมีความพยายามในการขอออกโฉนดที่ดิน รวมถึงมีการซื้อ-ขายเปลี่ยนมือเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความไม่ชัดเจนว่าใครคือเจ้าของที่แท้จริง
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2513 เมื่อการรถไฟฯ (รฟท.) ได้หารือกับนายชัย ชิดชอบ นักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังของบุรีรัมย์ขณะนั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ครอบครองที่ดินเขากระโดง โดยมีการบันทึกการประชุมว่า รฟท. ยินยอมให้นายชัยและผู้เกี่ยวข้องอาศัยอยู่ต่อได้ชั่วคราว โดยต้องทำ “สัญญาอาศัย” กับทาง รฟท. แต่ในทางปฏิบัติ ข้อตกลงดังกล่าวกลับไม่ได้ถูกดำเนินการตามที่ตกลงไว้ และในปี พ.ศ.2515 มีการออกโฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง (เลขที่ 3466) และต่อมาถูกขายให้กับบุคคลและบริษัทในตระกูลเดียวกัน
สถานการณ์เริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายทศวรรษ 2540 เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยชัดเจนว่า ที่ดินบริเวณเขากระโดงตามพระราชกฤษฎีกาปี 2462 เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ ทำให้ รฟท. เริ่มเดินหน้าขอให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ออกทับซ้อน โดยเฉพาะในเขต 5,083 ไร่ ที่อยู่ในแผนพัฒนาเป็นสถานีขนถ่ายสินค้า หรือ "Dry Port" ของภาครัฐ
...
อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวกลับไม่ง่าย เมื่อกรมที่ดินชี้ว่า การออกโฉนดที่ดินจำนวนมากนั้นเกิดขึ้นจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในช่วงที่ประชาชนอยู่อาศัยมาเป็นเวลานาน หากจะเพิกถอนจำเป็นต้องใช้ “คำพิพากษาของศาล” เป็นหลักฐาน ไม่สามารถดำเนินการฝ่ายเดียวได้
คดีพิพาทจึงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างยืดเยื้อ โดยศาลแพ่งหลายคดีตัดสินให้การรถไฟฯ ชนะฟ้องในช่วงปี 2557–2561 รวมถึงศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่าแผนที่ของ รฟท. ซึ่งระบุว่าเขากระโดงเป็นพื้นที่สงวนตาม พ.ร.บ.รถไฟ เป็นหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย และประชาชนที่บุกรุกไม่มีสิทธิ์ครอบครอง
ถึงแม้จะมีคำพิพากษาหลายคดีในทางเดียวกัน แต่การบังคับใช้ยังติดขัดในทางปฏิบัติ เพราะมีประชาชนอยู่อาศัยจำนวนมาก และหลายแปลงได้กลายเป็นที่ตั้งของโรงเรียน วัด และบริษัทเอกชน ทำให้การรถไฟฯ ต้องใช้เวลานานในการรวบรวมข้อมูลเพื่อขอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์จากกรมที่ดินอย่างเป็นระบบ
ในปี พ.ศ.2566 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้กรมที่ดินแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อวินิจฉัยว่าเอกสารสิทธิ์ที่ออกทับซ้อนที่ดินของ รฟท. นั้นควรถูกเพิกถอนหรือไม่ จนนำไปสู่คำวินิจฉัยของคณะกรรมการในเดือนตุลาคมปีเดียวกันว่า “ไม่เห็นควรเพิกถอน” เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของการรถไฟฯ
อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ ยังไม่ยอมแพ้ ได้ยื่นคัดค้านคำวินิจฉัย และในปี พ.ศ.2568 หลังรัฐบาลที่ไร้ “พรรคภูมิใจไทย” เจ้าของพื้นที่อีสานใต้ และตระกูลชิดชอบ ร่วมรัฐบาลด้วยแล้ว จึงถูกใส่เกียร์เร่งสะสางปัญหานี้ให้เรียบร้อย โดยกรมที่ดินเตรียมดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินในพื้นที่พิพาทกว่า 5,083 ไร่
ทว่า ล่าสุด เครือข่ายทุนใหญ่บุรีรัมย์ ทนายความ และชาวบ้านก็ออกมารวมตัวกันคัดค้านการยึดพื้นที่นี้คืนกลับไป งัดหลายเหตุผลมาชี้แจง อาทิ แผนที่การรถไฟฯ ไม่ใช่แผนที่แนบท้าย พ.ร.ฎ. เมื่อปี 2462 แต่ถูกจัดทำขึ้นใหม่ และคำสั่งศาลฎีกา ไม่อาจบังคับผู้ที่ไม่ใช่คู่ความได้ จึงยืนยันว่า เขากระโดง ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ แต่อย่างใด พร้อมท้าให้พิสูจน์กันในชั้นศาลต่อไป และยังไม่รู้ว่าจุดจบเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร