สำรวจชนักติดหลังว่าที่นายกฯ หนู “คดีฮั้วเลือก สว. - เขากระโดง” หากศาลตัดสินผิด อาจมีโทษจำคุก-ถูกตัดสิทธิการเมือง ชงต่อได้ถึงยุบพรรค

วันนี้ (5 ก.ย. 68) รัฐสภาเตรียมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ชิงดำระหว่าง พรรคเพื่อไทย ที่ประกาศส่งนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตที่เหลือคนสุดท้ายของพรรค และ พรรคภูมิใจไทย ที่ส่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค 

ขณะที่ตัวแปรสำคัญอย่าง พรรคประชาชน ได้ประกาศสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ ภายใต้ 5 เงื่อนไขแก้รัฐธรรมนูญ-ยุบสภาใน 4 เดือน ท่ามกลางข้อกังวลหลายฝ่ายว่ารวมถึงพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาโจมตีว่า การเลือกนายอนุทินขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ จะทำให้คดีสำคัญอย่าง "คดีฮั้วเลือก สว." และ "คดีที่ดินเขากระโดง" ถูกล้าง  

ทั้ง 2 คดีนี้ เป็นมาอย่างไร และคืบหน้าถึงไหนบ้าง ไทยรัฐออนไลน์ ไล่เรียงให้อ่านกัน 

คดีฮั้วเลือก สว.

...

สืบเนื่องมาจากการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในช่วงปี 2567 มีผู้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบว่ามีการ “ฮั้ว” โดยมีพรรคภูมิใจไทยอยู่เบื้องหลังเกิดเป็น “สว.สีน้ำเงิน” หรือไม่

ในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. 2567 มีผู้ยื่นคำร้องในกรณีที่เกี่ยวข้องรวมกันมากกว่า 570 คำร้อง ท่ามกลางคำท้วงติงว่า กกต.เตะถ่วงทำคดีล่าช้าหรือไม่ โดยดีเอสไอ รับ 3 คำร้องสอบ สว.ในวันที่ 3 ก.ย. 67 และได้ดำเนินการหารือกับ กกต.ถึงการตรวจสอบ 

ทาง กกต.ได้แจ้งกลับดีเอสไอโดยไม่มีความคืบหน้าในวันที่ 22 ม.ค.68 ทำให้ดีเอสไอแจ้งข้อมูลเพิ่มต่อ กกต.ในวันที่ 3 ก.พ.68

ต่อมา 18 ก.พ. 68 เลขาฯ กกต. ทำหนังสือตอบกลับดีเอสไอ ว่ายังไม่ได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการ กกต.ชุดใหญ่พิจารณา ให้เหตุผลว่าทางดีเอสไอยังไม่มีมติว่าจะรับเรื่องไว้หรือไม่ ก่อนวันที่ 22 ก.พ.68 ประธาน กกต. จะยอมรับว่า ได้รับหนังสือเกี่ยวกับคดีฮั้วเลือก สว.จากดีเอสไอแล้ว 

จากนั้นในวันที่ 6 มี.ค.68 กรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในขณะนั้นเป็นประธาน และมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เป็นรองประธาน ได้มีมติรับพิจารณาเป็นคดีพิเศษ ว่าเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินและอั้งยี่

ขณะเดียวกันช่วงปลายเดือน มี.ค.68 คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลาง ชุดที่ 26 ซึ่งร่วมมือกันระหว่าง กกต.และ ดีเอสไอ ได้ร่วมสืบสวนในความผิดที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป.สว.ฯ) และมีการออกหมายเรียกสอบ สส.และกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยหลายคน ซึ่งรวมถึง “นายอนุทิน” ด้วย

กล่าวคือคดีนี้แบ่งออกเป็น 2 คดีหลักคือ ผิด พ.ร.ป.สว.ฯ ซึ่ง กกต.เป็นผู้ดูแลโดยมีดีเอสไอช่วยเหลือ และคดีที่ 2 คือความผิดฐานฟอกเงินและอั้งยี่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ


ต่อมาวันที่ 17 ก.ค.68 คกก.ไต่สวน สรุปผลสอบสวนส่งเรื่องให้ กกต.พิจารณาดำเนินคดีผู้ถูกกล่าวหา 229 คน แบ่งเป็น สว.ที่ดำรงตำแหน่ง 138 คน และกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยและเครือข่าย 91 คน ในข้อหาขัดต่อ พ.ร.ป.สวฯ. ม.70 ผู้ฝ่าฝืน ม.36, ม.62 มีความผิดตามกฎหมาย โดย ม.36 ห้ามฮั้วเลือกตั้ง ไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม,  ม.62 ห้ามร่วมสนับสนุนหรือสมยอมให้ผิดกฎหมาย, ม.76 กกต.มีอำนาจสอบ หากพบการเลือกไม่โปร่งใส และ ม.77 (1) หากเกี่ยวพรรคการเมือง กกต.เสนอศาลยุบพรรคได้ นอกจากนี้พบว่า ยังเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ ม.113 ที่ห้าม สว.อยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมือง โดยให้เลขาธิการ กกต.ทำความเห็นส่งที่ประชุม กกต.เพื่อมีมติ 

ความคืบหน้า 15 ส.ค.2568 นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้รองเลขาฯ ฝ่ายสืบสวนดูแลและทำความเห็น โดยมีกรอบเวลา 30 วันแต่สามารถขยายได้เนื่องจากเอกสารมีจำนวนมาก จากนั้นจะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ กกต.ชุดใหญ่ต่อไป ซึ่งหากมีมติเห็นพ้อง ก็อาจนำไปสู่การร้องต่อ กกต.ให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค

...

ในส่วนของคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา นายระวี อักษรศิริ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI เปิดเผยว่า ได้มีการสอบพยานมากกว่า 100 ปาก และจะมีการสอบเพิ่มอีกราว 1,200 ปาก โดยคาดว่าจะออกหมายจับผู้ต้องหาได้ใน 1-2 เดือนนี้

ทั้งนี้หากศาลตัดสินว่า นายอนุทิน มีความผิด จะมีโทษจำคุก-ปรับ ถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งด้วย และหากตรวจสอบได้ว่าพรรคภูมิใจไทยมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบ กกต.ก็สามารถชงศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคต่อไปได้


คดีที่ดินเขากระโดง

คดีพิพาทที่ดินบริเวณเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ยืดเยื้อมายาวนานตลอด 50 ปีและกลับมาร้อนแรงอีกครั้งในช่วงที่ผ่านมา 

ความเป็นมาของคดีนี้ย้อนไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 มีการขยายเส้นทางรถไฟไปยังภาคอีสานใต้ และได้มีการออก พ.ร.ฎ.เพื่อเวนคืนที่ดินมาสร้างทางรถไฟ รวมพื้นที่ได้ 5,083 ไร่เศษ อยู่ใต้การดูแลของกรมรถไฟหลวงหรือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในปัจจุบัน

...

เมื่อเวลาผ่านไปมีประชาชน และนิติบุคคลหลายกลุ่มเข้ามาครอบครองใช้ประโยชน์ นำที่ดินไปออกโฉนดและเอกสารสิทธิมีการซื้อขายกัน นำไปสู่การที่ รฟท.เข้ามาตรวจสอบและดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดิน เกิดเป็นข้อพิพาทฟ้องร้องกันอย่างต่อเนื่องหลายคดี 

แม้ว่าในปี 2560 ศาลฎีกาได้พิพากษาว่า เป็นที่ดินของ รฟท. รวมถึงคำตัดสินศาลปกครอง ศาลอาญา และ ป.ป.ช. ก็ชี้ว่าเป็นที่ของรัฐต้องดำเนินการเพิกถอนโฉนด แต่กระบวนการกลับถูกมองว่าไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ในพื้นที่ดังกล่าวมีทั้งบ้านเรือนของประชาชน ธุรกิจ รวมถึงเมกะโปรเจกต์หลักพันล้านที่เกี่ยวข้องกับตระกูล “ชิดชอบ” บ้านใหญ่บุรีรัมย์พรรคสีน้ำเงิน เช่น สนามฟุตบอลช้างอารีนา สนามช้างอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต เป็นต้น

ในปี 2566 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้ อธิบดีกรมที่ดินตั้ง คกก.สอบสวน ว่าการออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนที่ดิน รฟท.ควรถูกเพิกถอนหรือไม่ และคกก.มีมติ “ไม่เห็นควรเพิกถอน” เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของ รฟท.

อย่างไรก็ดีคดีนี้กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังพรรคภูมิใจไทยแยกทางรัฐบาลเพื่อไทย และนายภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำเพื่อไทยขึ้นมาคุมบังเหียนกระทรวงมหาดไทย แทนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้สั่งตรวจสอบอธิบดีกรมที่ดินและเดินหน้ากระบวนการเพิกถอนโฉนด ขณะที่บ้านใหญ่บุรีรัมย์ ทนายความ และชาวบ้านก็ออกมารวมตัวกันคัดค้านท้าพิสูจน์กันในชั้นศาล 

...


ความคืบหน้าวันที่ 5 ก.ย.68 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ดำเนินการสอบปากคำพยาน ตรวจสอบหลักฐานพบที่ดินเขากระโดง 271 แปลง ออกโฉนดโดยมิชอบ เร่งพิจารณาเป็นคดีพิเศษภายใน 2 สัปดาห์ ในวันนี้ดีเอสไอจะสอบปากคำเพิ่มเติมจาก กุสุมาลวตี ศิริโกมุท ที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคลที่ครอบครองที่ดิน และยังจะร้องทุกข์เพิ่มเติมในกรณีการก่อสร้างสนามแข่งรถที่รุกล้ำลำคลองสาธารณะ นอกจากนี้ รฟท.จะเข้าให้ข้อมูลเพื่อให้ดีเอสไอพิจารณาว่าการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบนี้มีใครเกี่ยวข้องบ้าง

ขณะที่นักข่าวถาม นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกฯ ว่าหากมีการเปลี่ยนรัฐบาล คดีนี้จะเป็นอย่างไร นายภูมิธรรมตอบว่า “ถ้าเลือกคุณอนุทิน ก็จะหายไปตลอดเวลา และหายไปตลอดกาล”

ขณะเดียวกันได้มีการยื่น ป.ป.ช.ตรวจสอบมาตรฐานทางจริยธรรมของนายอนุทิน ในกรณีมีที่ดินครอบครองทำประโยชน์ที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ หรือไม่อย่างไรโดยมีทะเบียนบ้านเข้าอยู่อาศัยและได้รับผลประโยชน์หรือไม่อย่างไร และอาศัยสิทธิ์อะไรในการอยู่ในที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน โดยวันที่ 4 ก.ย.68 นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ “ทนายอั๋น บุรีรัมย์” ได้เดินทางไปยัง ป.ป.ช. เพื่อทวงถามความคืบหน้าของกรณีที่ได้ร้องเรียนไป ระบุว่า ได้ยื่นเรื่องไปตั้งแต่ปี 2567 ตอนนี้ผ่านมา 1 ปีกว่า แต่ยังไม่ได้รับความคืบหน้า

ที่มา : ilaw, pptv, policywatch