ถ้าพูดถึงตระกูลนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดของไทย 'เจียรวนนท์' คือหนึ่งในชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง จากวันที่เริ่มต้นธุรกิจขายเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ตอนนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ‘ซีพี’ กลายเป็นธุรกิจที่ขยายการลงทุนไปในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยไทยรัฐออนไลน์ พูดคุยกับ ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวนจากนโยบายภาษีของทรัมป์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เปลี่ยนเกมธุรกิจแทบทุกวัน ผู้นำของซีพี จึงต้องไม่ใช่แค่ผู้สืบทอด แต่ต้องเป็นผู้ที่สามารถพัฒนา พลิกโฉม และนำพาธุรกิจให้อยู่รอดและก้าวล้ำไปข้างหน้าได้หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ Thairath Front Page EP.2 ศุภชัย เจียรวนนท์ : เศรษฐกิจไทยได้ส้มหล่นจากสงครามการค้า เผยแพร่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568การประชุม World Economic Forum เมื่อต้นปี ได้พูดถึงเศรษฐกิจโลกไว้อย่างไรบ้างเรื่องที่หนึ่ง Digital Transformation ซึ่งรวมถึงเรื่อง AI ด้วย คือมันยังเป็นกล่องดำอยู่ คนยังคาดเดาไม่ออกว่า ในยุคของ Large Language Model (LLM) นั้น AI รวมถึง Deep Tech ที่เกี่ยวข้องกับ AI หรือ Computing Technology จะเปลี่ยนโลกไปขนาดไหน อันนี้เป็นเรื่องที่หนึ่งเรื่องที่สอง คือ Decarbonization เขาคุยกันมากว่าการเปลี่ยนแปลงหลังยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อ 80 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว ระบบเปลือกโลกก็เริ่มทำงานแปลกๆ ระบบนิเวศที่เราเห็นพวกแนวปะการัง สัตว์น้ำ พวกนั้นเห็นชัดมาก เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นเรื่องใหญ่ของโลกส่วนเรื่องที่สาม Deglobalization ความหมายก็ตรงกันข้ามกับ Globalization คือการที่โลกเป็นหนึ่งเดียว ตอนนี้มันเริ่มแยกเป็นหลายขั้ว แล้วตัวความขัดแย้งหรือว่าแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหว่าง Geopolitics หรือการเมืองโลก มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่เราเห็น มันเกิดสงคราม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่กำลังกำหนดโลก แล้วค่อนข้างจะรุนแรงขึ้นโดยไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งหมายความว่า มันอาจไปถึงขั้นที่เป็นสงครามจริงๆ หรือสงครามโลก“สงคราม ถ้ามันสามารถเปลี่ยนทิศไปทางด้านของสงครามการค้า แล้วไม่มาแตะ Hot Wars หรือไปทางด้าน Trade Wars ก็ยังดีกว่าไปสงครามจริง” ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมคิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา และ The rest of the world คือที่เหลือของโลกมันจะไปด้วยกันแล้วทำให้ไม่เกิด Global Recession โดยเฉพาะในกรณีของสหรัฐอเมริกา ไม่ให้เกิด The Great Recession หมายความว่า ไม่ให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง หรือความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจที่รุนแรงถ้ามันไปไม่ถึงจุดนั้น ผมว่าไม่เห็นสงครามโลก แต่ถ้าเกิดไปถึงขั้นที่รุนแรง มันก็จะเกิดการเล่นเทปย้อนกลับ ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งถึงสงครามโลกครั้งที่สองแล้วปัจจัยสุดท้ายที่คุยกันมากใน World Economic Forum ครั้งนี้คือตัวแปรที่กระทบทั้งสามเรื่องนี้ นั่นคือ มิสเตอร์ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งเป็นตัวที่คาดเดาไม่ได้อีกปัจจัยหนึ่ง เราต้องมานั่งลุ้นกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งต่อมาในเดือนเมษายน โดนัลด์ ทรัมป์ก็ขึ้นภาษี เกิดสงครามการค้าไปทั่วโลกแล้วสุดท้ายแล้ว ระบบการค้าเสรีของโลกจะยังมีอยู่ไหม หรือจะกลายเป็นโลกที่แบ่งเป็นแค่สองขั้ว คือมีจีน หรือสหรัฐฯ เป็นผู้นำ?ครั้งนี้ผมคิดว่า เรามีการถ่วงดุลทางการเมืองโลกที่ดี แล้วเราก็กำลังเจอประเทศที่ในประวัติศาสตร์ ไม่ต้องการสงคราม ก็คือประเทศจีนเศรษฐกิจโลกมันเกิดการเขย่า แต่ก็เกิดการถ่วงดุล ถ้าสหรัฐอเมริกาไปสุดทางนี้ งั้นจีนก็ไปอีกทาง คุณไป Deglobalization ฉันผลักเรื่อง Globalization คุณไป Bilateral ฉันไป Global คือมันก็จะถ่วงความสมดุลได้ดี ซึ่งผมคิดว่าอันนี้เป็นมุมบวกนะจีนกับสหรัฐอเมริกา ในการดุล (อำนาจ) ของระบบเศรษฐกิจโลก มันเกิดมหาอำนาจสองขั้ว แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ต้อง Balance ให้ดี ผมยังเชื่อว่าในหน้าฉากนี้ดูเหมือนชนกันรุนแรง แต่ว่าหลังฉาก หลายๆ นโยบาย ที่คุณขับเคลื่อนด้วยร่วมกันได้นั้น เศรษฐกิจโลกอาจจะดีขึ้น และทั้งสองประเทศดีด้วยแต่ในเวลาเดียวกัน มันก็มี Unpredictable Area คือมีจุดที่เราคาดเดาลำบากเหมือนกัน ในความเป็นผู้นำของทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะตอนนี้ ในฝั่งของสหรัฐอเมริกา ก็ต้องรอดูนะครับว่า เขาอาจจะเป็นคนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ หรืออาจจะเป็นผู้ที่จุดประกายสงครามโลกก็ได้คุณเคยพูดว่าในสงครามการค้าระหว่างจีน - สหรัฐฯ และโลกในตอนนี้ ประเทศไทยอาจจะได้รับส้มหล่น โอกาสในวิกฤตครั้งนี้เป็นอย่างไร อยากให้ช่วยขยายความผมคิดว่าภายใต้ความไม่แน่นอน หรือว่าความไม่มั่นคงของระบบเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงกับมหาอำนาจทั้งสองขั้ว หรือว่าสามขั้ว เราเพิ่มยุโรปด้วย ทรัพยากรหลายๆ อย่างนี้จะพยายามไปอยู่ในจุดที่ไม่อยู่ขั้วใดขั้วหนึ่ง ทั้งเรื่องของคน การเงิน และการผลิต ซึ่งทำให้หลุดออกจากกระบวนท่าของ Geopolitics หรือความขัดแย้งทางการเมืองโลกประเทศไทยโดยประวัติศาสตร์ของเรา เราหาจุดสมดุลตรงนี้ได้ดีมากๆ อย่างเช่นกรณีของ Data Center ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดิมอยู่สิงคโปร์ เมื่อสิงคโปร์บอกไม่มีพื้นที่แล้ว ก็ย้ายมามาเลเซีย แต่เนื่องจากมาเลเซียไปเชื่อมโยงกับสงครามศาสนาที่เกี่ยวข้องกับปาเลสไตน์และอิสราเอล ในที่สุดการลงทุนของพวก Hyperscalers ต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ก็ต้องลดความเสี่ยงโดยการย้ายมาเมืองไทย ให้สมดุลกับมาเลเซีย อันนี้เราเห็นแล้วว่า เราได้ส้มหล่นแล้วส้มหล่นอันที่สอง คือเรื่อง The Industrial Estate ในด้านการผลิต ตั้งแต่ EV ยัน Semiconductor เมื่อทุกคนก็มองว่าสงครามการค้าน่าจะเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทจีนเอง หรือบริษัทต่างประเทศที่ตั้งโรงงานอยู่ในประเทศจีนต้องการเอาบางส่วนย้ายออกมา เขาก็เลือกระหว่างสองประเทศ คือไทยกับเวียดนาม แล้วเราก็ได้ประโยชน์อีกแต่แน่นอนล่ะ ตอนนี้เวียดนามเขาขับเคลื่อนมา เขามีพื้นฐานทาง STEM เหนือกว่าเราระดับหนึ่ง แต่ผมก็ยังคิดว่า เราก็ยังไม่ได้แพ้เขามากหรอกทั้งนี้พวกผู้ประกอบการของจีน เขามองว่าทางการเมืองประเทศไทยเป็นมิตรกับเขามากกว่าเวียดนามและฟิลิปปินส์ ถ้าเป็นผู้ประกอบการใหญ่ๆ ของจีน เขาเลือกประเทศไทย ที่เหลือก็เลือกระหว่างไทยกับเวียดนาม งั้นเราก็ได้ส้มหล่นอีกทีนี้เรามาดูเรื่องการค้า เราโดนภาษีที่ทรัมป์ประกาศออกมา ก็หนักเหมือนกัน ต้องมองเรื่องการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เราจะทำให้เรื่องของการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา มาสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างไร คืออย่าไปมองว่าการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา หมายถึงการเสียเงินให้สหรัฐอเมริกาอย่างเดียวเช่น ถ้าเราจะเป็นศูนย์กลางทางด้านการแพทย์ให้กับภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือแม้กระทั่งในเอเชีย เดิมเราซื้อแต่ของจากทางยุโรปหรือญี่ปุ่น วันนี้เราพิจารณาซื้อเทคโนโลยีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาไหม ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้ด้อยกว่าใครในเรื่องนี้อยู่แล้ว เป็นต้นถ้าเราศึกษาว่า ยุทธศาสตร์ประเทศคืออะไร แล้วต่อรองบนพื้นฐานที่เราสามารถซื้อเทคโนโลยีของเขาเข้ามาขับดันยุทธศาสตร์ของประเทศ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เป็นเรื่องที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศไทย ในเวลาเดียวกันก็ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกาด้วยถ้าสมมุติว่าการเจรจากับโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ไทยต้องยอมนำเข้าเนื้อ เนื้อสัตว์ เนื้อหมู เครื่องใน แปลว่าอุตสาหกรรมในไทยต้องได้รับผลกระทบมหาศาล คำถามคือ ซีพีจะเป็นอย่างไร?เราไม่สามารถจะบอกว่า เราไม่ปกป้องอุตสาหกรรมของเรา ไม่ได้ แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องบอกว่า อุตสาหกรรมเราก็ต้องแข่งขันได้โดยปกติแล้ว การแข่งขันระหว่างประเทศใหญ่กับประเทศเล็ก คำว่า Entire Dumping มันต้องเกิดขึ้น พูดง่ายๆ คือ คุณไม่สามารถขายของที่ต่ำกว่าต้นทุนของอุตสาหกรรมจริงๆ ในประเทศเราได้ ไม่อย่างนั้นอุตสาหกรรมในประเทศก็พังหมด แล้วถ้าพังหมดเมื่อไหร่ เราก็ไม่ต่างอะไรกับประเทศที่ไม่มีอุตสาหกรรมของตัวเองการพิจารณาว่าอุตสาหกรรมอะไร และพื้นฐานขั้นไหนที่เราต้องรักษาไว้เพื่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจไทย เป็นเรื่องที่เราต้องเข้าใจต้นทุนมันอย่างลึกซึ้ง แล้วเราต้องไม่ปล่อยให้เกิดการนำเข้าที่ต่ำกว่าต้นทุนในกระบวนการของการผลิตผมยกตัวอย่าง สินค้าจากโรงงานต่างๆ ส่วนใหญ่มันเท่าทุน ที่ประมาณสัก 80-85% ของการผลิต ถ้าโรงงานผลิตเต็มประสิทธิภาพ 15% สุดท้ายเหมือนได้เปล่า ถ้าเกิด 15-20% นี้ มาทุ่มทิ้งที่ประเทศไทย อุตสาหกรรมเราไปหมดเลย ซึ่งเราก็จะกลับมาคิดในที่สุดว่า วันนี้ได้ของถูก แต่ในอนาคต เราต้องพึ่งพาการนำเข้า ซึ่งจะไม่ถูก เพราะว่าเราไม่มีศักยภาพในการแข่งขันแล้วดังนั้น ความสมดุลในการบริหารเรื่องนี้ ระหว่างต้นทุนของอุตสาหกรรมจริง ซึ่งไม่ควรสูงเกินไป แต่ก็ต้องสะท้อนความเป็นจริง เพราะว่าถ้าเกิดต้นทุนอุตสาหกรรมเราเกิดอุ้ยอ้าย เรามีต้นทุนสูง เราไม่ปรับตัว ก็ไม่ดีกับผู้บริโภคไทยและประชาชนไทยเหมือนกัน สมดุลตรงนี้สำคัญมาก เอกชนขนาดใหญ่นี่ปรับตัวทุกวัน ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งล้มได้หนักได้ดัง มันต้องสู้ทุกวันอย่างเครือเรา เราไม่ได้ประกอบการเฉพาะในประเทศไทย ในจีนยังเป็นการลงทุนอันดับหนึ่ง และเราเป็นบริษัทไทยที่ลงทุนในสหรัฐอเมริกามากที่สุด รวมถึงรัสเซียด้วย คือเราลงทุนหมด ทุกประเทศในอาเซียนเราก็ลงทุนอยู่ เพราะฉะนั้นเรายังมีกำลังที่บอกว่า เราจะสู้ในระดับโลก แม้กระทั่งผู้ประกอบการของสหรัฐอเมริกา แต่เราลองพูดถึงระดับ SME ลงมาสิ เขาจะสู้อย่างไร? แกนก็คือภาครัฐจะต้องมีนโยบายที่ทำให้เขาปรับตัวได้ และอยู่บนต้นทุนของอุตสาหกรรมที่แข่งขันได้ครับการที่สหรัฐอเมริกาผลักดันเรื่องนี้ เขาต้องการให้คนไปลงทุนในประเทศเขา เปลี่ยนจากผู้ที่นำเข้าเยอะๆ ให้กลับมาเป็นผู้ผลิต เพราะฉะนั้นถ้าแรงจูงใจของสหรัฐอเมริกาดี ซีพีก็ต้องพิจารณา ในที่นี้ไม่ได้เอามาแข่งขันกับเมืองไทย แต่ไปเซิร์ฟตลาดสหรัฐอเมริกานั่นแหละ ถ้าเขาอยากลดการนำเข้าแล้วมีแรงจูงใจที่ดี เราในฐานะผู้ลงทุนก็น่าสนใจถูกไหม ประเทศจีนก็เหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วเราไปลงทุนในประเทศนั้น ก็เพื่อเซิร์ฟตลาดของเขาอยู่แล้วจากพนักงานตัวเล็กอายุ 22 ปี ที่สยามแม็คโคร วันนี้คุณเป็นประธานคณะผู้บริหารของเครือเจริญโภคภัณฑ์ 36 ปีที่ผ่านมา คุณเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองบ้าง?เราเรียนรู้เยอะมาก อุปสรรคและปัญหา ความล้มเหลว คำวิพากษ์วิจารณ์ คู่แข่ง ล้วนแล้วแต่เป็นคุณครูของเรา แล้วก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราพัฒนาตัวเราเอง พอพัฒนาตัวเองแล้วไปทำอะไรต่อ จะทำให้เกิดประโยชน์ได้มากขึ้นไหม อันนี้เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้นะประเด็นสำคัญก็คือ Persistence หรือความไม่ย่อท้อและยอมแพ้ต่ออุปสรรค แล้วความล้มเหลวที่เราไม่ปล่อยผ่าน ถือว่ามันเป็นบันไดขั้นต่อไปที่จะสร้างสิ่งที่มีคุณค่า ทำให้เราค่อยๆ แตกฉาน อาจจะไม่ได้สำเร็จหวือหวาก็ได้ แต่ในที่สุดมันก็จะสำเร็จถ้าเราไม่ได้มองถึงผลลัพธ์หรือคุณค่าที่เกิด ไปมองแค่ความต้องการของเราหรืออีโก้ของเรา อันนี้ไม่ยั่งยืน พูดง่ายๆ คือเราอยู่ในโลกที่เราสร้างขึ้นมาเองว่าต้องสำเร็จอย่างนั้น ได้อย่างนั้นได้อย่างนี้ มันไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าที่แท้จริง แต่ถ้าเกิดเรามองไปที่ผลลัพธ์อยู่ตลอดเวลา ว่าแล้วมันดีกับส่วนรวมไหม ดีกับบริษัท ดีกับหน่วยงาน ดีกับลูกค้า ดีกับสังคมไหม เรามองตรงนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะไม่สูญเสียเป้าหมาย เราจะอยู่ในโลกของความเป็นจริง สนุกกับการทำงานตลอดเวลา อันนี้เป็นสิ่งที่เรียนรู้ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่รายการ Thairath Front Page ทาง YouTube ช่อง Thairath News เจาะลึกวิสัยทัศน์ผู้บริหารที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ ออกอากาศทุกวันพุธต้นเดือน 14.30 น. เป็นต้นไป