ส่องโอกาสแจกต่อ เงินหมื่นเฟส 3 – 4 หลังรัฐบาลตัดสินใจนำเงินไปใช้แก้ปัญหาโครงสร้างก่อน นักวิชาการมอง แก้ปัญหากำแพงภาษีสหรัฐเร่งด่วน ย้ำนโยบายแจกเงินไม่สร้างพายุหมุนเศรษฐกิจ แต่ประชาชนจะถูกรีดภาษีในอนาคต
ชะลอแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 หลังเมื่อวาน (19 พ.ค.68) คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ออกแถลงถึงการชะลอแจกเงินหมื่น ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป โดยวงเงินที่เตรียมไว้กระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ได้ผันนำไปใช้ในโครงการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่นการจัดการน้ำ ด้านคมนาคม การท่องเที่ยว และใช้ดิจิทัลมาเพิ่มขีดความสามารถในการจ้างงาน ซึ่งการพิจารณาเพื่อแจกเงินหมื่น ในเฟสถัดไปจะมีการพิจารณาดำเนินโครงการต่อในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) วิเคราะห์ว่า การชะลอแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 และ 4 ถือเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมของรัฐบาล เพราะการแจกเงินดิจิตอล เป็นโครงการที่ไม่มีประสิทธิภาพ แม้ในสภาวะเศรษฐกิจปกติยังไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการ ยิ่งในสถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น เนื่องจากต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับกำแพงภาษีของสหรัฐ ดังนั้น การทำให้เศรษฐกิจไทย ไม่ได้รับผลกระทบหนัก ต้องมีการพัฒนาการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
...
การนำเงินที่ใช้จากนโยบายแจกเงิน มาทำในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การคมนาคม การพัฒนาคนในการแข่งขันกับธุรกิจต่างชาติ ลดผลกระทบจากกำแพงภาษาของสหรัฐได้ แต่ถ้ารัฐฝืนแจกเงินหมื่นในเฟส 3 ต่อในตอนนี้ ทำให้ไม่มีการแก้ปัญหาที่ต้องเร่งทำอย่างเร่งด่วน ยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ลง ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจอื่น เพื่อให้เท่าทันกับภัยคุกคามเศรษฐกิจที่กำลังมาถึง
หากมองถึงงบประมาณที่นำมาใช้ในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแทนการแจกเงินหมื่นเฟส 3 รัฐบาลควรมีการจัดการงบเป็น 2 ส่วนคือ 1.งบประมาณในการจัดการกับปัญหาเร่งด่วน เช่น งบที่ช่วยเหลือในเรื่องการจัดการกำแพงภาษีของสหรัฐ ซึ่งต้องรอดูการเจรจาว่าออกมาแบบใด และกระทบกับการแข่งขันของธุรกิจไหน เพื่อได้นำเงินช่วยช่วยเหลือในธุรกิจนั้น ให้มีความสามารถในการแข่งขัน
2.งบในการจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างในภาพใหญ่ ที่ยังมีปัญหามาก เช่น การขาดแรงงานที่มีความสามารถ เทคโนโลยีในการแข่งขันที่ทันสมัย และการจัดการน้ำ
“การที่เศรษฐกิจไทยเติบโต ปัจจัยจากการส่งออกมีส่วนสำคัญมาก และการที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้น โดยเม็ดเงินเหล่านี้หมุนวนไปในระบบ แต่การที่สหรัฐสร้างกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการกีดกันในการส่งสินค้าไปขายในสหรัฐมีราคาที่แพงขึ้น ดังนั้นสินค้าไทยที่ส่งไปก็มีต้นทุนแพงมากขึ้น ทำให้ส่งออกไปได้น้อยขึ้น มีผลกระทบต่อเงินที่ได้จากการส่งออกของไทยลดลง ขณะเดียวกัฯก็จะมีสินค้าที่ขายไม่ได้ในประเทศอื่น เข้ามาดั้มราคาขายในไทย จนสินค้าของผู้ประกอบการไทยขายไม่ได้ และเมื่อไทยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ เงินในกระเป๋าของประชาชนลดลง ส่งผลกระทบกับทุกคนในประเทศ”
สำหรับการดำเนินโครงการแจกเงินหมื่นในเฟส 3 และ 4 ที่รัฐบาลบอกว่าแจกเมื่อเวลาที่เหมาะสม ดร.นณริฏ มองว่า นโยบายแจกเงิน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ได้ผล ระยะเวลาในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหมาะสม ควรเป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือติดลบ เช่น ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด
แต่ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ควรใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ในทางเศรษฐศาสตร์ อยากให้นำเงินส่วนนั้นไปจ้างงาน มากกว่านำไปใช้จ่ายแล้วหมดไป
การแจกเงินหมื่นในเฟส 1 และ 2 ที่ผ่านมา ได้แจกให้กับกลุ่มคนเปราะบางไปก่อนหน้านั้นแล้ว ในส่วนของคนกลุ่มที่เหลือ ก็อาจจะไม่ได้เงินส่วนนี้ แต่ควรนำเงินไปอุดหนุนระบบโครงสร้างพื้นฐาน
“อยากย้ำเตือนว่า ภาครัฐไม่มีเงินมากพอที่จะพิมพ์เงินออกมาแจก นั่นหมายความว่าเงินที่นำมาแจกเป็นเงินในอนาคตที่ภาครัฐเก็บภาษีจากเรามากขึ้น ซึ่งการที่เรารับเงินไปไม่ใช่เงินฟรี เหมือนกับรัฐไปกู้เงินมา แล้วเก็บเงินจากภาษีในอนาคตของเราในอัตราที่มากขึ้น เพื่อชดเชยกับเงินที่สูญเสียไปในอดีต”