เยือนมาเลเซีย คุยแกนนำระดับสูง “BIPP” ขบวนการแรกเคลื่อนไหวชายแดนใต้ ก่อนขยับสู่แนวทางการเมือง หลังขบวนการอื่นเดินหน้าปฏิบัติการ เสนอรัฐบาลเจรจาสันติภาพทุกกลุ่ม “เอกราช” อาจไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย รัฐบาลมีเจตจำนงที่ชัดเจนว่าอยากจะให้อะไรกับคนปัตตานี แต่ขบวนการก็ต้องฟังความต้องการคนในพื้นที่ด้วย
ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ปะทุระลอกใหม่ตั้งแต่วันปล้นปืนค่ายปีเหล็ง 4 มกราคม 2547 ผ่านมา 21 ปีแล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ซ้ำร้ายเหตุการณ์ช่วงกลางเดือนเมษายน 2568 เป็นต้นมา มีการสังหารเป้าหมายอ่อนแอที่เป็นประชาชนเหมือนกับตอนต้นของเหตุการณ์ช่วงปี 2547-2550
ทีมข่าว SEE TRUE ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมาเลเซีย สัมภาษณ์แกนนำขบวนการติดอาวุธที่ยังเคลื่อนไหวจำนวน 4 กลุ่มขบวนการ เพื่อนำเสนอถึงเหตุผลและจุดเริ่มต้นของการตั้งขบวนการต่างๆ ขึ้นมาต่อสู้กับรัฐ รวมถึงปลายทางของการต่อสู้ต้องการอะไร อย่างน้อยก็เพื่อทำความเข้าใจอดีต และเรียนรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
อุ้มฆ่า “หะยีสุหลง” จุดเริ่มต้นขบวนการติดอาวุธ
ช่วงเย็นปลายเดือนพฤษภาคม ในวันที่เมฆตั้งเค้าว่าอีกไม่นาน สายฝนคงถูกเทลงมาจากฟากฟ้า ทีมข่าว SEE TRUE ไทยรัฐทีวี ข้ามพรมแดนไทย-มาเลเซีย ด้านอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในเมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน
ชายวัยสูงอายุวัย 70 ปี ผิวคล้ำ ใส่เสื้อสีครีม สวมหมวกกะปิเยาะห์ นั่งรอในห้องอาหารส่วนตัว เขาคือ “อาบูฮาฟิซ อัลฮากีม” แกนนำระดับสูงขบวนการแนวร่วมปลดแอกแห่งชาติปาตานี หรือ BIPP (Barisan Islam Pembebasan Patani) ผู้ซึ่งเข้าร่วมขบวนการนี้ตั้งแต่ปี 2519
...
อาบูฮาฟิซ ย้อนอดีตการเกิดขึ้นของ BIPP ว่า เป็นขบวนการแรกที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2502 โดย “อดุลย์ ณ สายบุรี” ผู้สืบเชื้อสายเจ้าเมืองสายบุรี ตอนก่อตั้งชื่อ BNPP (Barisan Nasional Pembebasan Patani) เน้นการต่อสู้เพื่อเชื้อชาติ แต่ภายหลังใช้คำว่า “อิสลาม” แทน “เนชั่นแนล” หรือเชื้อชาติ จึงเปลี่ยนเป็น BIPP หรือแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามปาตานี
ส่วนจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งขบวนการ เกิดจากเหตุการณ์ที่ “หะยีสุหลง อับดุลกอเดร์” หรือ “หะยีสุหลง โต๊ะมีนา” ซึ่งยื่นข้อเสนอ 7 ข้อ เรียกร้องความยุติธรรมให้คนมลายูมุสลิม ที่ถูกกดขี่จากนโยบายชาตินิยม สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่กลับถูกคนของรัฐอุ้มฆ่า หรือบังคับสูญหายเมื่อปี 2497
“หลายปีต่อมา คือช่วงปี 2518 ก็เกิดกรณีอีกกรณีหนึ่ง เมื่อมีคนถูกฆ่าตายที่สะพานกอตอ (รอยต่อ จ.ปัตตานี และนราธิวาส) โดยทหารนาวิกโยธิน และก็มีเด็กคนหนึ่งที่รอดพ้นชีวิตมาได้ และเขาก็เล่าว่าเขาโดนทหารจับ จึงทำให้เกิดการประท้วงใหญ่ที่ปัตตานีถึงเกือบ 50 วัน ประมาณ 45-46 วัน”
อาบูฮาฟิซ เล่าว่า การประท้วงที่หน้าศาลากลางปัตตานี มีคนโยนระเบิดใส่ผู้ประท้วง จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ต่อมาก็ย้ายไปตั้งหลักประท้วงที่มัสยิดกลางปัตตานี
“การเสียชีวิตในช่วงนี้ มันส่งแรงสะเทือนถึงคนปัตตานี ซึ่งเขาก็เกือบจะลืมแล้วเรื่องหะยีสุหลง ประมาณ 20-30 ปีก่อน คนรุ่นนั้นก็เกือบจะลืมแล้ว แต่มันเกิดขึ้นใหม่ เพราะมีคนถูกฆ่าตาย โดยทิ้งระเบิด ตายที่หน้าศาลากลางปัตตานี เหตุการณ์นี้ทำให้ไฟมันลุกใหม่ ไฟของการต่อสู้” แกนนำระดับสูงขบวนการ BIPP กล่าวทิ้งท้ายเหตุการณ์ที่ 2 ที่ยิ่งสุมเชื้อไฟให้ปะทุขึ้น
จากเคลื่อนไหวทางทหารสู่แนวทางการเมือง
การเคลื่อนไหวของขบวนการ BIPP ในช่วงที่ใช้ชื่อเดิม BNPP นั้น “อาบูฮาฟิซ” เล่าว่า หลังก่อตั้งขบวนการประมาณ 1 ปี ก็ได้ตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมา มี “เปาะเยะ” เป็นหัวหน้าฝ่ายกองกำลัง ออกปฏิบัติการหลายครั้งหลายครา จนชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ และถูกขนานนามว่า “เปาะเยะ แห่งเทือกเขาบูโด”
แต่ว่าหลังการเปลี่ยนชื่อเป็น BIPP แนวทางการต่อสู้ก็เปลี่ยนไปด้วย นั่นทำให้ปฏิบัติการทางทหารลดลง อีกทั้งในช่วงนั้น ทั้งขบวนการพูโล มีกองกำลังจำนวนมาก และขบวนการ BRN ก็มีกองกำลังเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้ BIPP เน้นเคลื่อนไหวด้านการเมืองมากกว่า จนถึงปัจจุบัน
“ก็ทำงานการเมืองมากขึ้น ติดต่อกับต่างประเทศ และเอ็นจีโอ เพื่อให้รัฐบาลต่างประเทศรับทราบว่า ปัญหาของเราคืออะไร ต้องการอะไร นอกจากนั้นก็ไปร่วมกับองค์กรต่างๆ ระหว่างประเทศ” อาบูฮาฟิซ บอกถึงภารกิจปัจจุบันของเขาในฐานะแกนนำระดับสูง BIPP
ไม่รู้จะเกิดเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายปีเหล็งปี 2547
...
ก่อนเหตุการณ์ปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 หรือค่ายปีเหล็ง อำเภอเจาะไอร้อง แกนนำระดับสูงขบวนการ BIPP บอกว่า ไม่รู้มาก่อนว่าเกิดเหตุการณ์ปล้นปืนขึ้น แต่พอจะรู้บ้างว่า อาจจะมีปฏิบัติการอะไรสักอย่าง เพราะว่าส่วนมากคนที่อยู่วงในของขบวนการ จะคุยกันแบบสบายๆ จึงพอจะรู้ว่าจะมีปฏิบัติการ แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าจะทำอะไร ทำที่ไหน เมื่อไหร่ เพราะเป็นเรื่องของขบวนการ BRN
“ช่วงนั้นเป็นขาลงของพูโล แต่เป็นขาขึ้นของบีอาร์เอ็น ซึ่งบีอาร์เอ็นก่อนหน้านั้นเขาแยกเป็น 2 ซีก มีปัญหาภายในช่วงปี 1950 (2523) ส่วนการทหารคือบีอาร์เอ็นคองเกรส ส่วนการเมืองและศาสนา คือบีอาร์เอ็นโคออดิเนต ส่วนมากกองกำลังของบีอาร์เอ็น ไปอยู่กับคองเกรสเกือบจะหมด ฝ่ายโคออดิเนต ไม่มีอะไรเลย ถึงมีก็น้อยมาก เพราะฉะนั้น เราสามารถจะพูดได้ว่า บีอาร์เอ็นโคออดิเนต สร้างจากศูนย์ขึ้นมา จนถึงช่วงที่มีการปล้นปืน นานมากเกือบจะ 15-20 ปี กว่าจะมีความสามารถที่จะปล้นปืนได้” อาบูฮาฟิซ กล่าวถึงเบื้องหลังเหตุการณ์ปล้นปืนที่เขาไม่ได้รับรู้ล่วงหน้า
เบื้องหลังเจรจาสันติภาพ 11 ปี เสนอต้องคุยทุกกลุ่ม
...
หลังเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายปีเหล็ง เหตุการณ์ดำเนินต่อไปอีก 9 ปี กระทั่งปี 2556 สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรก ระหว่างรัฐบาลกับขบวนการบีอาร์เอ็น แต่ไม่ถึงปี เกิดเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
“หลังจากนั้นมีการรัฐประหาร ตอนนั้นหลายคนคิดจะใช้ไม้แข็ง แต่ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ประกาศจะสานต่อ แต่บีอาร์เอ็นไม่เชื่อ มีการแขวนป้ายคุยกับทหารได้อะไร เพราะเชื่อว่าทหารจะใช้กำลัง ทำให้มีส่วนหนึ่งของบีอาร์เอ็นไม่เอาด้วย ถอย แต่กลุ่มหนึ่งต้องการให้เดินเหมือนเดิม จะหยุดไม่ได้ เดี๋ยวปัญหาอื่นจะแทรก จึงตั้งมาราปัตตานี ปี 2015 (2558) คุยประมาณ 5 ปี” แกนนำระดับสูง BIPP เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ขบวนการ BIPP ได้เข้าร่วมเจรจาในนามกลุ่มมาราปัตตานี และเขาได้รับแต่งตั้งเป็นโฆษกมาราปัตตานีด้วย
แต่ว่าหลังการเปลี่ยนแปลงการเมืองของมาเลเซีย “นาจิบ ราซัก” อดีตนายกฯ แพ้ มหาเธร์ โมฮัมหมัด หวนกลับมาเป็นนายกฯ รอบสอง รัฐบาลไทยก็เปลี่ยนตัวคณะพูดคุย และไม่อยากคุยกับมาราปัตตานี แต่อยากคุยกับขบวนการบีอาร์เอ็นกลุ่มเดียว และเริ่มคุยปี 2563 กระทั่งปี 2567 กระบวนการพูดคุยก็หยุดชะงักลง
“เมื่อกระบวนการพูดคุยสะดุด อีกฝ่ายกำลังเฝ้ามอง คือฝ่ายกำลังบีอาร์เอ็น คุมได้หรือไม่ได้มันตอบยาก แต่เขาเฝ้าดูว่าการกระทำของรัฐจริงใจหรือเปล่า ถ้าไม่จริงใจ เขาลงใต้ดินดีกว่า เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขณะนี้ คือความลังเลของรัฐบาล ทำให้เกิดสุญญากาศการพูดคุย ก็เปิดโอกาสทำให้คนที่คิดใช้กำลังในการต่อรอง สิ่งที่เราเห็นขณะนี้ ก็เกิดมาจากการเว้นวรรคกระบวนของการพูดคุย” แกนนำระดับสูง BIPP บอกถึงสาเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ส่วนการเจรจา ถ้าจะเกิดขึ้นอีก แนะนำให้รัฐบาลคุยกับทุกกลุ่ม
...
“ปัญหามันไม่ใช่กลุ่มบีอาร์เอ็น เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่กำลังปฏิบัติการอยู่ ถึงแม้จะมีบางกลุ่มที่ปฏิบัติการทางการทหาร เค้าก็มีฝ่ายการเมือง กำลังทำงานอยู่ในพื้นที่ ซึ่งงานทางการเมืองมีความสำคัญพอๆ กับงานทางฝ่ายกองกำลัง ยกตัวอย่าง บีอาร์เอ็น ก็มีสมาชิกของเขา พูโลก็มีสมาชิกของเขา BIPP ก็มี GMIP ก็มีสมาชิกที่เป็นสมาชิกการเมือง เค้าก็กำลังเดินเรื่องทางการเมือง เพราะฉะนั้นเวลาจะคุยก็ต้องคุยกับทุกกลุ่ม เพราะถ้าคุยเฉพาะกลุ่มเดียวอย่างบีอาร์เอ็นเนี่ย มันก็ไม่เสร็จ” เขาย้ำและว่ากลุ่มที่ยังเคลื่อนไหวทุกวันนี้มี 4 กลุ่ม คือ บีอาร์เอ็น พูโล GMIP และ BIPP
เอกราช อาจไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย
อาบูฮาฟิซ บอกด้วยว่า แต่ละขบวนการก่อตั้งและต่อสู้มายาวนาน มีเป้าหมายต่อสู้คือ “เอกราช” เหมือนกัน แต่ว่าเมื่อสถานการณ์คู่ขัดแย้งต่างๆ รอบประเทศไทยเปลี่ยนไป ฝ่ายขบวนการยอมปรากฏตัวไปร่วมโต๊ะเจรจา หมายความว่า ยินยอมที่จะไม่ยกเรื่องเอกราชเป็นวาระพูดคุย เป็นการถอยก้าวหนึ่ง ฝ่ายรัฐจึงต้องถามตัวเองว่า จะเสนออะไรให้เป็นการแลกเปลี่ยน
“อาจจะเป็นว่า เราให้เขาเป็นเขตปกครองพิเศษ Autonomy อะไรก็แล้วแต่ กระจายอำนาจ อะไรก็แล้วแต่ แต่จะต้องเป็นวาระขึ้นมาบนโต๊ะ ฉะนั้นจึงพูดว่า ฝ่ายรัฐต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน ว่าอยากจะให้อะไรกับคนปัตตานี” แกนนำระดับสูง BIPP เผยความคิด สิ่งที่อาจจะเห็นในเป้าหมายสุดท้าย
แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เขาบอกว่า ฝ่ายขบวนการเอง ก็ต้องฟังคนในพื้นที่ว่าต้องการอะไร ต้องมีการจัดพูดคุยหารือกันแบบสาธารณะในพื้นที่ ว่าจริงๆ แล้วประชาชนอยากได้อะไร
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนไม่รู้ว่าการสัมภาษณ์ผ่านไป 2 ชั่วโมงกว่าแล้ว มารู้อีกที เพราะเสียงฟ้าร้องและฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก นั่นทำให้ SEE TRUE ปิดจบบทสนทนากับแกนนำระดับสูงขบวนการ BIPP แต่เพียงเท่านี้
ติดตามได้ในภารกิจ SEE TRUE ให้คุณเห็นความจริง ติดตามต่อเนื่องตั้งแต่ 30 มิ.ย. - 2 ก.ค. 68 ทางรายการไทยรัฐนิวส์โชว์ หลังเวลา 21.00 น.