จากกรณีสหรัฐฯ เตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยมีการประกาศอัตราภาษีใหม่เมื่อ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนระงับใช้ 90 วันเปิดทางให้ประเทศต่างๆ เจรจา ซึ่งไทยถูกเก็บภาษีที่ 36% และได้เดินทางไปเจรจาที่สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 3 ก.ค.แต่ยังไม่สำเร็จ และได้ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมไปเมื่อ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 4 ก.ค. สหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายแจ้งประเทศต่างๆ ทั่วโลก ถึงอัตราภาษีใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ หากไม่สามารถปิดดีลเจรจาได้ โดยกลุ่มแรกมีทั้งหมด 14 ประเทศรวมถึง “ประเทศไทย” ด้วย โดยถูกเก็บภาษีคงเดิมที่ 36% เกิดเป็นความกังวลว่าหากไทยไม่สามารถเจรจาได้ลงตัวจะกระทบกับเศรษฐกิจและภาคการส่งออกอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนบ้านอย่าง “เวียดนาม” สามารถปิดดีลได้ที่ 20%



รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ มองว่า หากประเทศไทยถูกเก็บภาษีที่ 36% จริง จะสะเทือนเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก ผลกระทบทางตรงคือกลุ่มอุตสาหกรรมบางอย่างที่ทับซ้อนกับ “เวียดนาม” โดยเฉพาะในสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ที่เวียดนามมีศักยภาพเข้ามาแทนที่ไทย และผลกระทบทางอ้อมในส่วนของความเชื่อมั่นนักลงทุน ที่อาจชะลอการลงทุนในไทยได้

...

อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของการส่งจดหมายทับซ้อนกันอยู่ โดยสหรัฐฯ ส่งจดหมาย ลงวันที่ 4 ก.ค. แต่ไทยได้ส่งข้อเสนอเพิ่มเติมไปในวันที่ 6 ก.ค. ซึ่งได้ยื่นผลประโยชน์เพิ่มเติมจากรอบแรกค่อนข้างมาก เช่น เสนอเก็บภาษี 0% ในสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ กว่า 90% มีการให้กรอบเวลาลดการเกินดุลการค้าที่ชัดเจน จึงคิดว่าไทยสามารถเจรจาและลดอัตราภาษีลงมาจาก 36% ได้ แต่การที่ไทยไม่ได้ให้ภาษี 0% กับสินค้าสหรัฐฯ ทุกชนิดเหมือนเวียดนาม อัตราภาษีก็อาจปรับลงมาไม่ถึง 20% แต่ถ้าได้ราว 25-28% เชื่อว่ายังสามารถแข่งขันกับเวียดนามได้ ผู้ประกอบการไม่ย้ายฐานผลิตมากนัก

มูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ในปี 2567 ประเทศไทยอยู่ที่ 63.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2 ล้านล้านบาท) ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 136.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4.4 ล้านล้านบาท) โดย 6 สินค้าหลักที่ไทยทับซ้อนกับเวียดนามอย่างมาก ได้แก่

1. อุปกรณ์รับส่งสัญญาณ

2. แผงโซลาร์เซลล์

3. หม้อแปลงไฟฟ้า

4. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์

5. กล้องดิจิทัล

6. เครื่องพิมพ์

ในส่วนของอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ ทับซ้อนกันมากที่สุด โดยไทยและเวียดนามส่งออกไปสหรัฐฯ ราว 8-9% ของการส่งออกแต่ละประเทศ แต่มีความแตกต่างกันเล็กน้อย คือเวียดนามเน้นผลิตเครื่องรับสัญญาณที่ใช้ในครัวเรือน ขณะที่ไทยจะผลิตเพื่อใช้ในโครงสร้างพื้นฐาน 



ข้อเสียดีล “เวียดนาม”

แม้เวียดนามจะปิดดีลเจรจาได้ แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจน เช่น กฎหมายควบคุมแหล่งกำเนิดจะเป็นไปตามหลักสากลที่ต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าในประเทศ 35-40% หรือสหรัฐฯ จะตั้งสูงกว่านั้น หากเป็นเช่นนั้นเวียดนามก็จะลำบากเพราะนำเข้าวัตถุดิบจากจีนเป็นจำนวนมาก หรือการเก็บภาษีสินค้าผ่านแดน (Transshipment) ที่ 40% ก็ยังไม่ชัดเจนว่ามีนิยามและมีกลไกอย่างไร

หากสุดท้าย เวียดนามได้ภาษีต่ำกว่าประเทศอื่นมาก การที่ประเทศอื่นจะมาส่งออกผ่านเวียดนามก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และอาจถูกสหรัฐฯ จับตามองอีกครั้ง การขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ ต้องการลดก็อาจจะทำได้ยากกว่าเดิม ส่งผลให้เวียดนามต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก กระทบผู้ประกอบการในประเทศมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่แน่นอนว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ เพราะหากทุกประเทศถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่เพิ่มขึ้น จะทำให้สินค้าราคาแพงขึ้นและเกิดภาวะเงินเฟ้อ นำไปสู่ Income Effect (ผลทางรายได้) หรือการที่รายได้เท่าเดิมแต่สินค้าแพงขึ้น ทำให้กำลังซื้อน้อยลง และล่าสุดที่สหรัฐฯ ผ่านงบประมาณ “Big, Beautiful Bill” ที่แม้จะมีการปรับลดภาษี แต่ก็ยังไม่แน่นอนว่าจะนำมาสู่การลงทุนที่เพิ่มขึ้น

ผลกระทบจากชาติอาเซียนอื่น

ในส่วนของประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ที่ยังเจรจาไม่สำเร็จเช่นกัน แต่ได้อัตราภาษีที่ต่ำกว่าไทย ได้แก่ มาเลเซีย ถูกเก็บภาษีที่ 25% มีสินค้าที่ทับซ้อนกันหลักๆ คือ เซมิคอนดักเตอร์ ในส่วนของตัวอื่นๆ ที่อยู่ในเซนเซอร์ ซึ่งประเทศไทยพยายามจะพัฒนาการส่งออกส่วนนี้ให้มากขึ้น รวมถึงเครื่องรับสัญญาณ แต่ต่างจากเวียดนามตรงที่เครื่องรับสัญญาณมาเลเซียจะมีความก้าวหน้ามากกว่าของไทย

...

อินโดนีเซีย ถูกเก็บภาษีที่ 32% แต่สินค้าไม่ค่อยทับซ้อนกับไทยมากนัก แต่จะไปทับซ้อนกับเวียดนามมากกว่าในส่วนของอุตสาหกรรมรองเท้า เฟอร์นิเจอร์ ที่ทับซ้อนกันบ้างคือเครื่องรับสัญญาณ แต่ไทยมีความก้าวหน้ากว่าจึงคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก 

ฟิลิปปินส์ ถูกเก็บภาษีที่ 17% สินค้าที่ทับซ้อนคือกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมีความน่ากังวลอยู่บ้าง แต่ทางฟิลิปปินส์ยังมีข้อจำกัดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่ง ทำให้ไทยยังมีแต้มต่อฟิลิปปินส์อยู่

อย่างไรก็ดีการขึ้นภาษีในครั้งนี้ อีกมุมหนึ่งก็เหมือนเป็น "Wake up Call" ทำให้ไทยตระหนักว่าต้องมีการปฏิรูปอุตสาหกรรมให้ผู้ผลิตไทยปรับตัวและพัฒนา ซึ่งอาจทำทันทีได้ยากแต่รัฐบาลต้องทยอยสื่อสารกับภาคเกษตรและอุตสาหกรรมถึงแนวทางและไทม์ไลน์ต่อจากนี้ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเข้มแข็งขึ้นอย่างยั่งยืนในอนาคต



“ทรัมป์” ขู่เก็บภาษี BRICS สะเทือนไทยหรือไม่?

...

จากกรณีล่าสุด 6 ก.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาขู่ว่าประเทศใดที่เข้าร่วมกับ “นโยบายต่อต้านอเมริกา” ของกลุ่มบริกส์ (BRICS: ประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ นำโดย บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) จะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% นั้น 

ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในสถานะประเทศหุ้นส่วนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกเต็มตัว ซึ่งไทยต้องนำเรื่องนี้เข้าไปคุยในวงในเจรจาให้ชัดเจน ว่าประเทศไทยเพิ่งเข้าไปเท่านั้นยังไม่มีสถานะเป็นสมาชิก ไม่มีบทบาทในฐานะผู้นำเจรจา

ขอบคุณ : ustr