คาด 3 ฉากทัศน์ “เพื่อไทย” ยื่นยุบสภาฯ มีโอกาสสำเร็จมากแค่ไหน? “นักกฎหมาย" มอง อาจไม่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อนเลือก “อนุทิน” เป็นนายกฯ ใหม่ แม้ผ่านได้ก็มีด่าน “ศาลรัฐธรรมนูญ” รออยู่ 

การเมืองฝุ่นตลบ วันนี้ (3 ก.ย. 68) พรรคประชาชน ประกาศโหวตนายอนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ ภายใต้ 5 เงื่อนไข ขณะที่พรรคภูมิใจไทยประกาศยอมรับทุกข้อเสนอ เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล 146 เสียง 

แต่ในขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาประกาศว่าได้ดำเนินการทูลเกล้าฯ ยื่นยุบสภาไปตั้งแต่ช่วงเช้าวานนี้ (2 ก.ย.) ท่ามกลางข้อถกเถียงว่ารักษาการนายกฯ สามารถยื่นยุบสภาได้หรือไม่ และกระบวนการโหวตเลือกนายกฯ ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร และล่าสุดกับกระแสข่าวลือสะพัดว่า พ.ร.ฎ.ยุบสภา ถูกตีกลับ 

ไทยรัฐออนไลน์ พูดคุยประเด็นนี้ รศ.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความเห็นว่า ในรัฐธรรมนูญกำหนดว่าการยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกายุบสภา (พ.ร.ฎ.ยุบสภา) ซึ่งต้องมีผู้ถวายคำแนะนำ

...

แนวปฏิบัติก่อนหน้านี้คือฝ่ายบริหารถวายคำแนะนำ ที่ผ่านมาคือนายกรัฐมนตรี แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องเป็นนายกฯ เท่านั้น หรือรักษาการนายกฯ ได้ ระบุแต่เพียงว่าต้องถวายคำแนะนำ ซึ่งตนมองว่า รักษาการนายกฯ สามารถทำได้ เพราะปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายบริหารอยู่

กระบวนการยุบสภาใช้เวลานานเท่าใดไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากไม่ได้มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ และเป็นกระบวนการภายในที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน

ในการยุบสภาทั่วไป ผู้ที่เตรียมร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภา ต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก่อน เช่น สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะยุบสภาแล้วต้องจัดการเลือกตั้งในกรอบเวลา 45-60 วัน จึงต้องประสานกับ กกต.มีความเห็นว่ากรอบเวลายุบสภาควรเป็นอย่างไร แต่ปกติก็เกิดขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว

อย่างไรก็ดีในกระบวนการยุบสภาครั้งนี้ ดูเหมือนเกิดขึ้นโดยฉับพลันทันที ก็ไม่แน่ชัดว่าหน่วยงานภายในที่ทำหน้าที่กลั่นกรองก่อนจะต้องมีการปรึกษาหารือกันหรือไม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา 

รศ.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


สภาฯ เดินหน้าโหวตนายกฯ ได้ แม้มีการยื่นยุบสภา

รศ.มุนินทร์ กล่าวว่า ตราบใดที่ยังไม่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ลงในราชกิจจานุเบกษา ก็ยังไม่มีผลทางกฎหมาย และรัฐสภายังทำหน้าที่ต่อตามปกติ สส.สามารถดำเนินการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ แต่เชื่อว่าในทางปฏิบัติ เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลได้ทูลเกล้าฯ และอยู่ในระหว่างกระบวนการยุบสภาแล้ว สภาฯ น่าจะหยุดการดำเนินการใดๆ ไปก่อนสักระยะหนึ่งเพื่อรอความชัดเจน ว่าจะมี พ.ร.ฎ.ยุบสภาออกมาหรือไม่ โดยคาดว่าภายในสัปดาห์นี้ (ภายในวันที่ 5 ก.ย.) จะยังไม่มีการโหวตเลือกนายกฯ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทางสภาฯ ด้วย

3 ฉากทัศน์ “ยุบสภา” ที่อาจเกิดขึ้น

ฉากทัศน์แรก คือ ไม่มี พ.ร.ฎ.ยุบสภา ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมี พ.ร.ฎ.ออกมาหรือไม่ เนื่องจากเป็นการภายในไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน จึงไม่อาจทราบได้ว่าหน่วยงานที่มีหน้าที่คัดกรองก่อนเสนอลงพระปรมาภิไธยมีความเห็นอย่างไร จะพิจารณาเห็นว่ามีข้อผิดพลาดต้องส่งกลับมาให้ ครม.แก้ไขให้เรียบร้อยก่อนหรือไม่ หากในระหว่างนั้นกระบวนการเลือกนายกฯ คนใหม่เสร็จสิ้น ฝ่ายบริหารชุดเดิมที่เป็นผู้ยื่นยุบสภาก็อาจไม่มีอำนาจแล้ว

“หากไม่มีประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาออกมาเท่ากับไม่มีการยุบสภา เมื่อมีกระบวนการเลือกนายกฯ คนใหม่เกิดขึ้น และได้นายกฯ เร็ว ก็เชื่อว่าจะไม่มีการยุบสภาเกิดขึ้นแล้ว และคุณอนุทินก็จะจัดตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาบริหารประเทศ ซึ่งจะดำเนินการตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับพรรคประชาชนในการยุบสภาภายใน 4 เดือนหรือไม่ คุณอนุทินกับทาง ครม.จะเป็นผู้ตัดสินใจ”

...


แต่ในกรณีที่มี พ.ร.ฎ.ยุบสภา ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีคนไปโต้แย้งต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยว่ารักษาการนายกฯ มีอำนาจทำได้หรือไม่ ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งชะลอผลของการยุบสภาเอาไว้ก่อน จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย โดยระหว่างนั้นจะไม่มีการเลือกตั้งใหม่หรือการดำเนินการใดๆ ผลคำวินิจฉัยอาจทำให้เกิดฉากทัศน์ที่ 2 คือ ศาลวินิจฉัยเห็นด้วยกับการยุบสภา เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งใหม่ตามปกติ 

หรือฉากทัศน์ที่ 3 ศาลวินิจฉัยว่าการยุบสภาไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรักษาการนายกฯ ไม่มีอำนาจริเริ่มกระบวนการยุบสภา เท่ากับว่า พ.ร.ฎ.ยุบสภา ไม่มีผลทางกฎหมาย คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยในแนวทางนี้ 

ทั้งนี้หากมีกรณีที่กระบวนการเลือกนายกฯ เสร็จสิ้น แต่มีประกาศราชกิจจานุเบกษา พ.ร.ฎ.ยุบสภา ที่มีผลก่อนหน้า มองว่าสภาฯ ก็ต้องถูกยุบไป  โดยนายกฯ และ ครม.ใหม่ จะรักษาการไปจนกว่ามีการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดีคิดว่าเกิดขึ้นยากและเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของไทย อาจเข้าไปสู่สิ่งที่นักกฎหมายเรียกว่าวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกันแน่ เนื่องจากเรื่องนี้รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ชัดเจน เป็นเรื่องที่อาจเรียกได้ว่าเป็นช่องโหว่ เป็นภาวะสุญญากาศ