กลยุทธ์แก้เกมทรัมป์ สไตล์ "ศุภจี สุธรรมพันธุ์" ที่นายกฯ ป้ายแดง อนุทิน วางใจให้นั่ง "รมว.พาณิชย์"
หญิงแกร่งมากความสามารถนาม "ศุภจี สุธรรมพันธุ์" น้อยคนที่จะไม่รู้จัก โดยเฉพาะเมื่อเอ่ยถึง เครือดุสิตธานี ที่เธอคือผู้คุมหางเสือฝ่าทุกความท้าทายมาแล้วเป็นปีที่ 9
แต่ในเวลานี้ ชื่อ แต๋ม ศุภจี คือหนึ่งในรายชื่อรัฐมนตรีในโผ ครม. ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่แกะกล่อง อนุทิน ชาญวีรกูล ในโควตาคนนอก ซึ่งกระแสข่าวสะพัดว่าจะได้รับการเปิดตัวในวันที่ 10 ก.ย. นี้
ด้วยดีกรีความสามารถของ ศุภจี ที่การันตีด้วยตำแหน่ง กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เป็นที่ทราบกันว่าสตรีผู้นี้พาธุรกิจระดับตำนานฝ่ามรสุมใหญ่เมื่อครั้งเผชิญวิกฤตโรคระบาดมาได้อย่างยอดเยี่ยม ยังไม่รวมประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการทำงานกับองค์กรใหญ่ระดับโลกอย่าง IBM
จึงน่าจับตาว่าระยะเวลา 4 เดือนต่อจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ภายใต้การกุมบังเหียนของเธอ จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด เพราะหากมองย้อนไป กลับไม่ค่อยปรากฏว่า รมว.พาณิชย์ คนไหนในรัฐบาลใด ทำผลงานได้ ‘ตรงเป้า-เข้าตา’ ประชาชนอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งที่กระทรวงนี้เป็นเสมือนเฟืองตัวสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจของทุกรัฐบาล มีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อนโยบายการส่งออกสินค้า การค้าภายในและต่างประเทศ
ศุภจี วิเคราะห์จุดแข็งของเธอ ที่คาดว่าอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้รับความไว้วางใจจาก ชนินทธ์ โทณวณิก ทายาทของผู้ก่อตั้งเครือดุสิตธานี ให้ดูแลธุรกิจในยามวิกฤตมายาวนานเกือบทศวรรษ ไว้ในตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ในรายการ ไทยรัฐ ฟรอนท์ เพจ ว่าอาจเป็นเพราะ
...
“...ประสบการณ์ (การทำงาน) กับบริษัทระดับโลก ที่เราทำมาหลากหลายประเทศ เป็นคนที่ทำงานกับคนได้ เป็นคนที่มีภูมิหลังทางด้านเทคโนโลยี แล้วก็เป็นคนที่ไม่กลัวกับการเปลี่ยนแปลง…”
ทว่ามีหนึ่งในภารกิจสำคัญ ที่รอท้าทายฝีมืออีกขั้นของ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ อยู่ ก็คือการนำพาประเทศไทย ให้ “รอดไปได้” ภายใต้บรรยากาศที่โลกกำลังทำสงครามการค้าระหว่างกัน และมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาได้สร้างความปั่นป่วน ซ้ำเติมความซับซ้อนของระบบภูมิรัฐศาสตร์โลกอยู่ในเวลานี้
ศุภจีเผยวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการรับมือกับ มาตรการกำแพงภาษีนำเข้าตามนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ตามมุมมองของเธอ ในสไตล์ผู้นำธุรกิจอสังหาฯ และโรงแรม ที่ต้องให้ความสำคัญกับ “คน” เป็นหลักว่า ในช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังขาดกำลังใจที่จะออกไปเที่ยว จับจ่ายใช้สอย และต้องคอยพะวงกับการรัดเข็มขัด
“ประเทศไทยก็ต้องสร้างวัตถุประสงค์ให้คนต้องมา คือไม่ใช่มาเพื่อเที่ยว เหมือนอย่างช่วงโควิด-19 หรือว่าช่วงที่เราฟื้นตัวหลังโควิด”
พร้อมยกตัวอย่างว่า ผู้คนที่เดินทางไปยังประเทศสิงคโปร์ มีวัตถุประสงค์หลักคือไปทำงาน ไปทำธุรกิจ ไปเจรจา เพราะสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางของธุรกรรมหลากหลายมิติ ส่วนการท่องเที่ยวนั้น ‘เป็นของแถม’ ศุภจี สะท้อนในส่วนของไทยว่า
“แต่ของเราหดหายไปเยอะมาก ฟื้นตัวก็ช้า เพราะส่วนมากคนมาเที่ยวไม่ได้มาทำอย่างอื่น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องสร้างวัตถุประสงค์อื่น สิ่งที่เราควรจะต้องทำเพิ่ม ก็คือประเทศเรามีดีอะไรอื่นอีก ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของการแพทย์ที่เราพูดกันเยอะแยะมากมาย การแพทย์ของเราทั้งดีและราคาสมเหตุสมผล ทำไมเราไม่ดึงเรื่องนี้มาเป็นจุดที่เราจะขาย ในเรื่องของสุขภาพ (wellness) ก็ได้ ในเรื่องของอาหารการกินก็ได้ เป็น Gastronomy Tourism เรื่องการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนก็ได้”
พร้อมยืนยันด้วยผลโหวตจาก CNBC ที่เคยโหวตให้กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดในเรื่องของ Workation กล่าวคือ มาทำงานไปด้วย แล้วก็พักผ่อนไปด้วยได้ และนี่คือโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า “B-leisure คือ Business + Leisure” ซึ่งกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะผู้คนต้องการเดินทางมา เพื่อทำธุรกิจด้วย แล้วก็เที่ยวไปด้วย
“หากเราจะจับคนกลุ่มนี้ หรือที่เราเรียกว่า Digital Nomad ก็คือคนที่ทำงานที่ไหนก็ได้ในโลก ถ้าเราจะจับคนกลุ่มนี้เราจะจับที่ตรงไหนดี เราก็ต้องรู้ว่า ประเทศไหน กลุ่มไหน อายุเท่าไหร่ วัยอะไร แล้วสื่ออะไรที่จะไปถึงพวกนี้ ที่เขาถึงจะมา แล้วเราควรจะต้องทำอะไรมากไปกว่าให้การท่องเที่ยว (ททท.) เขาเป็นคนทำคนเดียว เพราะการท่องเที่ยวจะสำเร็จได้ มันต้องการคนอีกเยอะแยะมากมาย เช่น เข้าประเทศต้องสะดวก
...
ดังนั้นคนที่ต้องเกี่ยวข้องมีตั้งแต่คมนาคม กระทรวงการต่างประเทศในเรื่องของการออกวีซ่าระยะยาว (long stay) กระทรวงสาธารณสุข มหาดไทย ตำรวจ ทุกอย่างมันต้องรวมกัน ดังนั้น KPI ของคนที่ดูแลเรื่องการท่องเที่ยว มันไม่ควรจะอยู่ที่การท่องเที่ยวเท่านั้น มันควรจะเป็น KPI รวมที่ทุกคนถือเป้าเดียวร่วมกัน เพราะสุดท้ายแล้ว มันทำสำเร็จได้ด้วยคนเดียวไม่ได้”
การตอบคำถามแบบฉายภาพกว้างแบบกระชับภายในระยะเวลาอันสั้นของศุภจี ชี้ว่าเธอมองเห็นว่ากลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศแบบทั้งองคาพยพ ควรเป็นอย่างไร
ในตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า
"เสียดายไม่เป็นนักการเมือง" เธอตอบกลับทันทีว่า "แต๋มน่ะเหรอคะ? เขาไม่ให้เป็นมั้งคะ (หัวเราะ)"
ณ การสัมภาษณ์เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 นั้น ยังไม่มีเค้าลางว่าจะมาถึงวันที่มี แต๋ม ศุภจี จะมีชื่อติดโผคณะรัฐมนตรีในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ทว่าในวันนี้ นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 กำลังเปิดประตูบานใหม่สู่โอกาสในการใช้ความสามารถมาบริหารบ้านเมืองให้กับชีวิตของเธอแล้ว
หลังจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า ศุภจี จะสร้างตำนานใหม่ให้ตัวเอง บนบทบาทนักการเมือง ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้อย่างไร
ติดตามบทสัมภาษณ์เต็มเพื่อสัมผัสตัวตนและวิสัยทัศน์ในมิติอื่นๆ ของหญิงแกร่งผู้นี้ให้ลึกขึ้นได้ในรายการ Thairath Front Page EP.3: “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” กับภารกิจนำ “ดุสิตธานี” ผ่านความท้าทายครั้งใหม่
...