บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษในซีรีส์ Clean Energy Frontier บนเว็บไซต์ Climate Home News ในวันที่อบอ้าวของเดือนกุมภาพันธ์ คนงานกลุ่มเล็กๆ จับกลุ่มกันอยู่หน้าโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และเป็นที่ตั้งของบริษัทผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ชั้นนำของโลกหลายแห่งคนงานหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างรู้ดีว่า พวกเขาอาจจะทำงานนี้ได้อีกไม่นานนัก หลังจากที่ได้อ่านรีวิวประสบการณ์ทำงานและเสียงวิจารณ์ของอดีตพนักงานบนโซเชียลมีเดีย กรณีการ ‘ถูกลดงาน’ เมื่อยอดสั่งซื้อน้อย แม้บริษัทจะรับปากว่าจะจ่ายค่าแรงที่เป็นธรรม แต่อาชีพของพวกเขาก็ถือว่ากำลังยืนอยู่บนเส้นด้าย เนื่องจาก ‘อุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์’ ของไทย กำลังอยู่ท่ามกลางสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยมีคนงานในอุตสาหกรรมนี้เป็นผู้รับเคราะห์อธิบายอย่างนี้ว่า ที่ผ่านมา บริษัทจีนขนาดใหญ่ได้ครอบครองอุตสาหกรรมการผลิตโซลาร์เซลล์ของไทยเกือบทั้งหมด ซึ่งผลิตเซลล์และแผงโซลาร์เซลล์เพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ขณะที่วอชิงตันก็กำลังสร้างกำแพงทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ในประเทศของตน จากการหลั่งไหลของสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีนผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย (ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) พึ่งพาชิ้นส่วนจากจีนเป็นหลัก ตอนนี้ต้องเจอกับภาษีนำเข้าเกือบ 400% หากต้องการส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯนักวิเคราะห์กล่าวว่า ภาษีเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อภาคการผลิตและคนงานของไทย และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศอีกด้วย แต่ในอีกแง่หนึ่ง สถานการณ์การค้าที่เปลี่ยนไปนี้ก็สร้างโอกาสให้ผู้ผลิตได้หาตลาดใหม่ๆ รวมถึงการเร่งติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย สงครามการค้าพลังงานแสงอาทิตย์กำลังระอุเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่สหรัฐอเมริกาได้ทำ ‘สงครามภาษี’ กับการนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์ราคาถูกจากจีนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสหรัฐฯ ระบุว่า สิ่งนี้ทำให้อุตสาหกรรมภายในประเทศของตนเสียหายโดยที่ผ่านมา การผลิตเซลล์และแผง (โมดูล) พลังงานแสงอาทิตย์จำนวนมหาศาลของจีน ทำให้พลังงานสะอาดขยายตัวไปทั่วโลก และทำให้ต้นทุนของแผงโซลาร์เซลล์ลดลงถึง 90% อย่างไรก็ตาม การผลิตโซลาร์เซลล์ในลักษณะทุ่มตลาดและตัดราคาของจีน ก็ทำให้เกิดข้อกล่าวหาเรื่องการค้าที่ไม่เป็นธรรมด้วยเช่นกันเพื่อตอบโต้กับข้อกล่าวหานี้ ผู้ผลิตจีนจึงย้ายกระบวนการผลิตขั้นสุดท้ายไปยังประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นศูนย์กลางการประกอบแผงโซลาร์เซลล์และฐานการส่งออกที่สำคัญ และเมื่อจีนส่งออกชิ้นส่วนโซลาร์เซลล์ไปยังเวียดนาม ไทย มาเลเซีย และกัมพูชาเยอะขึ้น สหรัฐฯ ก็ซื้อแผงโซลาร์เซลล์จากประเทศแถบนั้นมากขึ้นตามไปด้วยโดยภายในปี 2566 พบว่า 80% ของแผงโซลาร์เซลล์ที่อเมริกาซื้อมาจากต่างประเทศ มาจากแค่ 4 ประเทศนี้เอง แล้วเกือบ 25% มาจากประเทศไทยประเทศเดียว ทว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์จีนหลายรายที่มีโรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขณะนี้ กลับต้องหยุดดำเนินการบางส่วน หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีเพิ่ม (ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด - AD) กับสินค้าโซลาร์เซลล์ที่นำเข้าจาก 4 ประเทศนี้ เพื่อปิดช่องโหว่ทางภาษีคนงานหลายพันคนที่ทำงานในโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ของไทย (ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาคอีสานที่ทำเกษตรกรรม เพื่อมาหางานที่มีรายได้ดีกว่าในอุตสาหกรรมที่ดูเหมือนจะเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต) ตอนนี้ถูกสั่งให้หยุดงานชั่วคราว หรือไม่ก็ถูกเลิกจ้างอย่างกะทันหันด้าน Climate Home News ได้รวบรวมข้อมูลจากข่าวท้องถิ่นและโพสต์ในโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับการเลิกจ้างคนงานของ 3 บริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์รายใหญ่ ซึ่งมีโรงงานอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดยสามบริษัทนี้คือ บริษัทรันเนอร์จี (Runergy) และ บริษัททรินา โซล่า (Trina Solar) ซึ่งเป็นบริษัทจีน และเป็นหนึ่งในบริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์ (PV) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงบริษัทแคนาเดียน โซล่า (Canadian Solar) ซึ่งดำเนินงานด้านการผลิตส่วนใหญ่ในจีนมาอย่างยาวนานโดยพบว่า มีพนักงานประจำและพนักงานที่ทำงานแบบรับเหมาช่วง (ซับคอนแทรค) เกือบ 8,000 คน ถูกเลิกจ้างชั่วคราวหรือถาวรในปี 2567 ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ก็ได้สอบสวนข้อร้องเรียนจากผู้ผลิตชาวอเมริกันที่กล่าวหาว่าบริษัทที่มีโรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังทุ่มตลาดขายสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนและมีราคาถูกเกินจริงในตลาดสหรัฐฯ อุตสาหกรรมที่กำลังสูญเสียตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด!ย้อนไปเมื่อเดือนที่แล้ว (เมษายน 2568) เจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าจะเก็บภาษีนำเข้าเซลล์แสงอาทิตย์จากไทยสูงมากถึงอย่างน้อย 375% โดยคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลกลางที่ทำงานร่วมกันทั้งสองพรรค จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายเรื่องภาษีนี้ในเดือนมิถุนายนนี้ โดยนักวิเคราะห์วงในมองว่า ภาษีนี้มีแนวโน้มสูงที่จะผ่านการอนุมัติสถาบันเศรษฐศาสตร์พลังงานและการวิเคราะห์ทางการเงิน (IEEFA) พบว่า ถ้ามีการขึ้นราคาสินค้าเกิน 250% จะทำให้สินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ‘ไม่สามารถขายได้’ คุณแกรนท์ ฮอเบอร์ (Grant Hauber) จาก IEEFA บอกกับ Climate Home ว่า “บริษัทไหนก็ตาม ในประเทศไหนก็ตามที่ภาษีรวมกันเกิน 250% มีแนวโน้มสูงมากที่ยอดสั่งซื้อจะลดลงหรือไม่ก็ถูกยกเลิกไปเลย”ตลอดปีที่ผ่านมา การพิจารณาเรื่องภาษีของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้สั่นสะเทือนอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ของไทยอย่างมาก โดย ลินเซียว จู (Linxiao Zhu) นักวิจัยจาก Oxford Institute for Energy Studies กล่าวว่า “มีการระงับการดำเนินงานในวงกว้างของบริษัทจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย และหลายแห่งน่าจะปิดกิจการถาวร”“ภูมิภาคนี้เสี่ยงที่จะสูญเสียกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ไปจำนวนมาก เพราะไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้แล้ว”ด้าน ฟอร์บส์ จันทร (Forbes Chanthorn) นักวิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านพลังงานของ Bloomberg NEF ประจำประเทศไทยซึ่งประจำอยู่ที่สิงคโปร์ เห็นด้วยว่า “อุตสาหกรรมการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ของไทยกำลังเจอกับความท้าทายที่หนักหนา” และเสริมว่า “กำลังสูญเสียตลาดส่งออกหลักๆ ไป โดยที่ยังไม่มีทางเลือกอื่นในระยะใกล้เลย”สถานการณ์อาจเลวร้ายลงไปอีก เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 37% สำหรับสินค้าทุกอย่างจากประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในแผนการขึ้นภาษีแบบเหมาเข่งของวอชิงตันที่ตอนนี้ถูกพักไว้จนถึงเดือนมิถุนายนนี้ และถ้ามีการบังคับใช้จริง จะทำให้ภาษีที่เก็บกับเซลล์แสงอาทิตย์ของไทยพุ่งสูงถึง 426%และในการให้สัมภาษณ์ จารุวรรณ พิพัฒน์พุทธพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานแสงอาทิตย์จากกระทรวงพลังงานของไทย ก็ยอมรับว่า ภาษีเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศอย่างแน่นอนเหยื่อของมาตรการภาษีระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งครอบคลุมสามจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย ถือเป็นหัวใจสำคัญในแผนของรัฐบาลที่จะเปลี่ยนพื้นที่นี้ให้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ทรงพลัง โดยบริษัทต่างชาติพากันแห่มาตั้งโรงงานที่นี่ เพื่อผลิตสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่เครื่องปรับอากาศไปจนถึงแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และแผงโซลาร์เซลล์สำหรับตลาดทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก โดยได้แรงจูงใจจากมาตรการลดหย่อนภาษีที่น่าสนใจและค่าแรงที่ถูกเช่นเดียวกับบริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์ชั้นนำของจีนหลายแห่งเริ่มเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานใน EEC เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว และหลังจากนั้นไม่นาน การส่งออกโซลาร์เซลล์ของไทยไปสหรัฐฯ ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ในเดือนมิถุนายนปี 2567 การยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าโซลาร์เซลล์จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ที่ยกเว้นเป็นเวลา 2 ปี (ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยใช้เพื่อส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในประเทศ) ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทำให้บริษัทในภูมิภาคนี้ที่นำเข้าแผ่นซิลิคอนเวเฟอร์จากจีนมาประกอบเป็นแผงเซลล์โซลาร์เซลล์เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ต้องจ่ายภาษี โดยหลังจากนั้นไม่กี่วัน โรงงานผู้ผลิตหลายแห่งก็ชะลอการผลิตหรือระงับการทำงาน และลดจำนวนพนักงานลงเพื่อปรับตัวเข้ากับกฎภาษีใหม่ โดย อำนวย งามเนตร ผู้อำนวยการสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยอง ตัวแทนกระทรวงแรงงานในพื้นที่ เปิดเผยกับ Climate Home ว่า เฉพาะในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นจังหวัดทางใต้สุดในสามจังหวัดของ EEC มีพนักงานประจำ 3,200 คนในโรงงานโซลาร์เซลล์ 5 แห่งถูกสั่งให้หยุดงานในช่วงปี 2565-2567 ตามข้อมูลทางการอีกทั้งวิดีโอที่ถูกโพสต์บน TikTok ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นลานจอดรถที่ว่างเปล่าและบริเวณรอบโรงงานโซลาร์เซลล์บางแห่งที่เงียบผิดปกติ"ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน ถ้าชีวิตสะดุด ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ ลาก่อน" คนงานโซลาร์เซลล์คนหนึ่ง โพสต์ข้อความนี้บนโซเชียลมีเดีย พร้อมกับรูปจดหมายเลิกจ้าง อำนาจ (นามสมมุติ) ก็เป็นหนึ่งในคนหลายพันคนที่ได้รับผลกระทบเหมือนคนอื่นๆ เขาคือชายวัย 39 ปี ที่เดินทางจากบ้านเกิดในภาคอีสานเมื่อปี 2565 เพื่อหางานที่มีรายได้ดีกว่า ซึ่งที่แห่งนั้นก็คือโรงงานพลังงานแสงอาทิตย์ใน EEC"ตอนนั้นดูเหมือนเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคต ผมหวังว่าจะได้ทำงานที่นั่นไปอีกหลายปี" อำนาจเล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ "แต่สุดท้ายมันไม่เป็นแบบนั้น"อำนาจเคยเป็นลูกจ้างชั่วคราวให้โรงงานโซลาร์เซลล์ของจีนหลายแห่ง จนกระทั่งได้งานประจำที่บริษัท Runergy ซึ่งผลิตเซลล์และแผงโซลาร์เซลล์เขาทำงานสัปดาห์ละหกวัน ได้รับค่าจ้างประมาณ 25,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของแรงงานไร้ฝีมือมาก แต่ในเดือนตุลาคม 2567 เขาก็ถูกเลิกจ้างพร้อมกับ "พนักงานเกือบทั้งหมด" ของโรงงาน ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น อำนาจบอกว่าการเลิกจ้างครั้งนั้นกระทบคนงานเกือบ 3,000 คนเลยทีเดียวขณะที่บริษัท Runergy ไม่ได้ตอบคำถามที่เราถามไปหลายครั้งเลยในเดือนเดียวกันนั้นเอง บริษัท Runergy ก็ไปเปิดโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์แห่งแรกในสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะยังขายของให้ตลาดอเมริกาได้อยู่ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในหลายบริษัทโซลาร์เซลล์ที่หวังจะได้รับเงินคืนภาษีจากกฎหมาย Inflation Reduction Act - IRA ของอเมริกา (กฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ) ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์กลับไปเปิดโรงงานในประเทศในฐานะพนักงานประจำ อำนาจได้รับเงินชดเชย 75% ของเงินเดือน ซึ่งก็ช่วยให้เขามีเงินใช้จ่ายในช่วง 3 เดือนที่หางานใหม่ แต่คนอื่นๆ ไม่โชคดีเท่าเขา… คนงานอีกหลายพันคนที่ถูกจ้างมาในฐานะลูกจ้างชั่วคราว (ซับคอนแทรค) ซึ่งมีสิทธิน้อยกว่า ถูกเลิกจ้างแบบกะทันหัน ไม่ได้งาน ไม่ได้เงิน เพราะบริษัทสั่งพักงานบางส่วนความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิแรงงานผู้ใช้ TikTok คนหนึ่งที่เคยออกมาบ่นเรื่องการเลิกจ้างงาน บอกกับ Climate Home ว่า "หลังจากออกจากบริษัทโซลาร์เซลล์ แฟนผมตกงานอยู่สองเดือน มันลำบากมากสำหรับพวกเรา" เขาอธิบายว่า บริษัทรับเหมาช่วง (ซับคอนแทรค) ที่จ้างแฟนเขา ให้แฟนเขาเซ็นใบลาออก ซึ่งทำให้บริษัทไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยที่แฟนเขาควรจะได้บุญยืน สุขใหม่ ทนายความด้านแรงงานและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิในท้องถิ่น บอกกับ Climate Home ว่า "คนงานส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันผิดกฎหมาย" ทั้งๆ ที่โดนปฏิบัติแบบนี้เป็นเรื่องปกติ ในย่านที่พักของคนงาน ซึ่งอยู่ห่างจากเขตอุตสาหกรรมไม่กี่กิโลเมตร เราจะเห็นสำนักงานของบริษัทรับเหมาช่วงตั้งเรียงรายถัดจากร้านทำผมและร้านอาหาร โดยยังมีคนแวะเวียนมาเรื่อยๆ เพื่อกรอกใบสมัครและสแกน QR code และติดตามประกาศรับสมัครงานในโซเชียลมีเดียบุญยืน บอกว่า "โดยปกติแล้ว พนักงานซับคอนแทรค จะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม พวกเขามักจะได้รับสวัสดิการน้อยกว่า และมีความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิมากที่สุด" เขากล่าวเสริมว่า คดีความเกี่ยวกับการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เพราะคนงานส่วนน้อยที่มีกำลังทรัพย์และเวลาจะดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย ด้านตัวแทนของบริษัท Trina Solar ในประเทศไทย ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ส่วนบริษัท Canadian Solar ก็ไม่ได้ตอบคำถามที่เราถามไปหลายครั้งเลยอย่างไรก็ตาม ในจดหมาย (ลงวันที่มิถุนายน 2567) ที่มีการแชร์ในโซเชียลมีเดีย บริษัท Canadian Solar ระบุว่า บริษัทได้หยุดการทำงานของโรงงานแห่งหนึ่งชั่วคราว เพื่อปรับปรุงสายการผลิตและเครื่องจักร "เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันทางการค้าในปัจจุบัน บริษัทจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดและทิศทางของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ"บริษัทยังบอกอีกว่า "มีความเชื่อมั่นอย่างมากในศักยภาพและสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย" ซึ่งบริษัทตั้งใจจะดำเนินธุรกิจต่อไปการแสวงหาตลาดใหม่ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์รายใหญ่ของจีนบางราย ได้เริ่มตั้งสายการผลิตในประเทศอินโดนีเซียและลาวแล้ว ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าโซลาร์เซลล์ของสหรัฐฯส่วนตะวันออกกลางก็กลายเป็นแหล่งที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับบริษัทจีนที่จะไปลงทุนทำโซลาร์เซลล์ รวมถึงผลิตชิ้นส่วนสำคัญๆ อย่างแท่งและแผ่นเวเฟอร์โพลีซิลิคอนด้วย ลินเซียว จู (Linxiao Zhu) เขียนไว้ในรายงานล่าสุดของ The Oxford Institute for Energy Studies ว่า "ความพยายามเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับจีนเลย (อยู่นอกประเทศจีนโดยสมบูรณ์) เพื่อส่งสินค้าไปยังตะวันออกกลาง สหรัฐฯ และตลาดอื่นๆ ที่อาจมีความเสี่ยงเรื่องภาษี"ด้านนักวิเคราะห์กล่าวว่า ถ้าโรงงานโซลาร์เซลล์ใหญ่ๆ ในไทยอยากจะทำธุรกิจต่อไปได้ อาจต้องหาตลาดส่งออกใหม่ที่ไม่ใช่สหรัฐฯกล่าวคือ ในระยะสั้น อาจจะส่งออกไปยังยุโรปกับอินเดียแทน ซึ่งรัฐบาลไทยก็กำลังเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป โดย ลอร่า ชวาร์ตซ์ (Laura Schwartz) นักวิเคราะห์อาวุโสจากบริษัท Verisk Maplecroft ระบุว่า ความต้องการอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ในยุโรปอาจจะโตเร็วกว่าในสหรัฐฯ"อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กว่าครึ่งของการส่งออกเซลล์และแผงโซลาร์เซลล์ของจีนถูกส่งไปยุโรปแล้ว ดังนั้น สินค้าจากไทยก็จะเจอกับคู่แข่งที่แข็งแกร่ง แถมผู้พัฒนาโซลาร์เซลล์ในอินเดียก็จะต้องใช้เซลล์ที่ผลิตในประเทศสำหรับโครงการของรัฐบาลตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2569 ด้วย” ชวาร์ตซ์ กล่าวด้าน คริสติน่า เอ็นจี (Christina Ng) ผู้อำนวยการ Energy Shift Institute กล่าวว่า ภาษีเหล่านี้ก็อาจจะเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ของอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ซึ่งอาจจะหันไปเน้นขายสินค้าให้ตลาดเกิดใหม่ในแอฟริกาและอเมริกาใต้ และเร่งติดตั้งโซลาร์เซลล์ในภูมิภาคตัวเองให้เร็วขึ้นอย่างไรก็ดี ประเทศไทยพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซเป็นหลัก แต่รัฐบาลก็วางแผนไว้ว่าจะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้เป็น 51% ของทั้งหมดภายในปี 2580 โดยส่วนใหญ่คาดว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ปัจจุบันนี้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ในไทยมีแค่ประมาณ 3% เท่านั้นด้านบริษัทสัญชาติไทยที่ประกอบแผงพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเอง ก็กำลังเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการจูงใจเพิ่มขึ้นเพื่อขยายห่วงโซ่อุปทานที่ผลิตในประเทศกฤษณ์ พรพิไลลักษณ์ CEO ของบริษัท Solar PPM เกรงว่าผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของจีนที่ไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ได้ จะทำให้สินค้าล้นตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และราคาดิ่งลง…และเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของประเทศไทย กฤษณ์ กล่าวว่า เขาต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนผู้ผลิตไทยในการผลิตเซลล์โซลาร์และส่วนประกอบต้นน้ำอื่นๆ ในประเทศมากขึ้นจารุวรรณ พิพัฒน์พุทธพันธ์ เสริมว่า ประเทศไทยมีปริมาณสำรองแร่ควอตซ์เกรดโซลาร์เซลล์มากกว่า 6 ล้านตัน ซึ่งสามารถนำมาผลิตโพลีซิลิคอน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแผ่นเวเฟอร์โซลาร์เซลล์ แม้ว่าการพัฒนาทรัพยากรเหล่านี้จะต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและการลงทุนสูงก็ตามด้าน คริสติน่า เอ็นจี ทิ้งท้ายว่า “นี่คือโอกาสสำหรับผู้ผลิต จะได้ก้าวขึ้นสู่ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) จากการเป็นเพียงผู้ประกอบชิ้นส่วนต้นทุนต่ำ สู่การเป็นผู้นำในเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้น”“หากภูมิภาคนี้ให้ความสำคัญกับช่วงเวลานี้อย่างจริงจังและกระจายความเสี่ยงออกไป ก็จะไม่เพียงแค่รอดพ้นจากวิกฤตนี้เท่านั้น แต่จะเติบโตแข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้มากขึ้นด้วย”เรื่องโดย ณิชา เวชพานิชภาพโดย พีระพล บุณยเกียรติแปลโดย อรสา ศรีดาวเรือง