จากประเด็นข้อพิพาทไทย-กัมพูชาที่กำลังคุกกรุ่นอยู่ขณะนี้ เกิดเหตุปะทะบริเวณ “ช่องบก” จ.อุบลราชธานี รวมถึงข้อพิพาทเหนือพื้นที่ ปราสาทตาเมืองธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควายและพื้นที่มอมเบย จ.สุรินทร์ และล่าสุด 5 มิ.ย. 2568 ทางกัมพูชา ออกแถลงการณ์ว่าได้นำ 4 พื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชายื่นขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลก (ICJ) ในขณะที่ไทยได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที ยืนยันไม่รับอำนาจศาลโลก ยึดแนวทางสันติวิธีและใช้กลไกทวิภาคีแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
ข้อพิพาททางชายแดนครั้งนี้ ทำให้หลายคนนึกไปถึงกรณี “เขาพระวิหาร” ที่ไทยและกัมพูชาได้ขึ้นศาลโลกเช่นกัน ในครั้งนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไร “ไทยรัฐออนไลน์” พาไปย้อนรอย
สาเหตุเรื่องถึง "ศาลโลก"
“ปราสาทพระวิหาร” เป็นเทวาลัยที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรักชายแดน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ของไทย และ จ.พระวิหาร ของกัมพูชาในปัจจุบัน หากย้อนไปในอดีตไม่ได้มีการกำหนดเส้นเขตแดนกัน จนกระทั่งการเข้ามาของชาติตะวันตกในช่วงต้น พ.ศ. 2400 โดย “ฝรั่งเศส” เข้ามาล่าอาณานิคมในพื้นที่กัมพูชา และสยามต้องเซ็นสัญญายกดินแดนให้หลายครั้ง จนในปี พ.ศ. 2447-2450 สยามและฝรั่งเศสได้ทำสนธิสัญญาตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมเพื่อแบ่งเขตแดนกัน ในปี 2451 ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ 1 : 200,000 ส่งให้ไทย โดยแผนที่นี้ระบุว่า “เขาพระวิหาร” อยู่ภายในเขตของกัมพูชา ซึ่งแผนที่นี้ไม่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการปักปันผสมเนื่องจากสิ้นสุดวาระไปแล้ว
...
อย่างไรก็ดีไทยไม่ได้มีการทักท้วงอย่างจริงจัง และในปี พ.ศ.2473 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญคือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเยือนปราสาทพระวิหาร โดยมีข้าหลวงฝรั่งเศสให้การต้อนรับ
ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2483-2484 เกิดข้อพิพาทอินโดจีน ไทยทำการสู้รบกับฝรั่งเศสเพื่อทวงดินแดน ก่อนจะได้ญี่ปุ่นเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย กรณีพิพาทยุติลงโดยไทยได้ดินแดนที่เคยเสียให้ฝรั่งเศสคืนกลับมา แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโดยที่ฝรั่งเศสอยู่ฝ่ายผู้ชนะและญี่ปุ่นอยู่ฝ่ายแพ้สงคราม นำมาสู่ความตกลงระงับกรณีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส พ.ศ. 2489 หรือ สนธิสัญญาปารีส พ.ศ. 2489 ว่าไทยจะคืนดินแดนเหล่านี้แก่กัมพูชา แลกกับการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหประชาชาติ (UN) โดยไม่ถูกคัดค้านจากฝรั่งเศส แต่อย่างไรสิทธิเหนือพื้นที่เขาพระวิหารก็ยังคงไม่ชัดเจน
ต่อมาใน พ.ศ. 2492 ไทยได้เข้าครอบครองปราสาทพระวิหาร ฝรั่งเศสในฐานะผู้ปกครองกัมพูชาได้ส่งหนังสือประท้วงต่อทางการไทยหลายฉบับ อ้างว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนกัมพูชาและขอให้ไทยถอนผู้ดูแลปราสาทออกไป และเมื่อกัมพูชาได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2496 ก็ได้ส่งผู้ดูแลไปปราสาทพระวิหารแต่เจอผู้ดูแลคนไทยอยู่ก่อนแล้วจึงล่าถอยออกไป แต่ได้ส่งหนังสือถึงรัฐบาลไทยหลายครั้ง จนเกิดการเจรจาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2501 แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ เกิดการประท้วงรุนแรงในหมู่ประชาชน มีการเคลื่อนขบวนไปสถานทูตกัมพูชาจนเกิดการปะทะกับตำรวจ มีผู้บาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย นับเป็นการชุมนุมครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดนี้ทำให้กัมพูชาตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยในวันที่ 24 พ.ย. 2501 แต่ได้กลับมาสถาปนาความสัมพันธ์การทูตอีกครั้งในเดือน ก.พ. 2502 แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องเขาพระวิหาร ทำให้ในวันที่ 6 ต.ค. 2502 กัมพูชาได้ยื่นคำขอต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ ศาลโลก ให้วินิจฉัยอธิปไตยเหนือดินแดนเขาพระวิหารและให้ไทยถอนกำลังทหาร จากนั้นในปี 2505 กัมพูชาขอให้ศาลโลกวินิจฉัยเพิ่มอีก 3 ประเด็น คือ ให้ตัดสินชี้ขาดเขตแดนไทย-กัมพูชา, พิจารณาสถานะของแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ให้มีผลผูกพันไทย และขอให้รัฐบาลไทยส่งคืน สิ่งประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนสลักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณสถาน รูปหินทราย และเครื่องปั้นดินเผาโบราณ จากปราสาทพระวิหาร
ในวันที่ 15 มิ.ย. 2505 ศาลโลกลงคะแนน 9 ต่อ 3 ว่า “ปราสาทเขาพระวิหาร” อยู่ในอาณาเขตอธิปไตยของกัมพูชา โดยยกเหตุผลว่าไทยไม่ได้โต้แย้งแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำ และตอนที่กรมพระยาดำรงฯ เสด็จเยือนก็อยู่ภายใต้ธงฝรั่งเศส จึงเหมือนยอมรับไปโดยปริยาย รวมถึงให้ไทยถอนกำลังทหารที่วางกำลังไว้ที่ปราสาทและพื้นที่ใกล้เคียงในดินแดนของกัมพูชา และลงคะแนน 7 ต่อ 5 ให้ไทยมีพันธะต้องคืนสิ่งของตามที่กัมพูชาร้องขอ อย่างไรก็ดี ศาลโลก ไม่ได้พิพากษาชี้ขาดเรื่องเส้นแดนระหว่างประเทศ และไม่ได้ตัดสินว่าเขตแดนต้องเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000
...
ขึ้นทะเบียน "ปราสาทพระวิหาร" เป็นมรดกโลก
ความขัดแย้งครั้งใหญ่รอบใหม่ เกิดขึ้นเมื่อปี 2550 กัมพูชาได้ยื่นจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก กัมพูชากำหนดพื้นที่กันชน (Buffer Zone) รอบๆ ปราสาท และอ้างเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกับไทยประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งในพื้นที่นั้นรวมบันไดทางขึ้นปราสาทพระวิหารฝั่งไทยด้วย
ทางกระทรวงต่างประเทศจึงหารือกับทางกัมพูชาเพื่อให้ร่วมกับฝ่ายไทยขึ้นทะเบียนร่วมกัน ให้กัมพูชาเปลี่ยนแผนที่ให้ไม่ล้ำเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อน และได้ขอให้ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก (ยูเนสโก) สมัยที่ 31 เลื่อนการพิจารณาขึ้นทะเบียนของกัมพูชาออกไปก่อน
- 14 พ.ค.2551 ในสมัยของรัฐบาลนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ได้หารือร่วมกับกัมพูชา โดยฝ่ายกัมพูชาตกลงที่จะเปลี่ยนแผนที่แนบในเอกสารคำขอยื่นขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยจดทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น และได้ส่งแผนที่ที่ปรับแก้ไขใหม่มาให้ฝั่งไทย เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2551 กรมแผนที่ทหารได้ตรวจสอบว่าแผนที่ใหม่นั้นไม่มีการล้ำเข้ามาในเขตไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จึงได้พิจารณาเห็นชอบ และคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วม
- 18 มิ.ย. 2551 นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ได้ลงนามคำแถลงการณ์ร่วมกับฝ่ายกัมพูชาและยูเนสโก ขณะเดียวกันกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมไล่รัฐบาลในตอนนั้น ได้ชุมนุมขับไล่นายนพดล จากตำแหน่ง และยื่นหนังสือทวงถามกรณีข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร ว่าไม่ยอมเปิดเผยแผนที่ทับซ้อนให้กับประชาชนคนไทยได้รู้ และได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อ 24 มิ.ย.2551 รวมถึงลงชื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารกว่า 33,400 รายชื่อ
...
- 28 มิ.ย.2551 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กระทรวงการต่างประเทศและ ครม.ยุติการดำเนินการตามมติ ครม.ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุด รวมถึงเพิกถอนมติ ครม. และการลงนามในคำแถลงการณ์ร่วมฯ ของนายนพดล และสั่งให้นายนพดล ยุติความผูกพันตามคำแถลงการณ์ร่วมฯ ต่อประเทศกัมพูชาและองค์การยูเนสโก
อย่างไรก็ตามในวันที่ 7 ก.ค. 2551 ที่ประชุมยูเนสโก ครั้งที่ 32 ที่นครควิเบก ประเทศแคนาดา ได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ทำให้ประเด็นเขาพระวิหารถูกหยิบมาโจมตีการทำงานของรัฐบาลอย่างหนัก ว่าการลงนามในแถลงการณ์ร่วมฯ ถูกกัมพูชานำไปใช้เป็นเอกสารประกอบยื่นต่อคณะกรรมการยูเนสโกว่าไทยสนับสนุน แม้นายนพดลจะออกมาปฏิเสธว่าแถลงการณ์ร่วมฯ ไม่ใช่ต้นเหตุเพราะมีคำสั่งเพิกถอนไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ทนต่อแรงเสียดทานไม่ไหวลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 10 ก.ค.2551 ทันทีหลังเดินทางกลับจากการประชุมยูเนสโก
...
ข้อพิพาทครั้งนี้ทำให้เกิดความตึงเครียดและมีการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาหลายครั้งในปี 2551-2554 มีทหารและพลเรือนบาดเจ็บและเสียชีวิต จนกระทั่งในวันที่ 28 เม.ย.2554 ทางกัมพูชา ได้ยื่นขอให้ศาลโลกตีความคำตัดสินคำพิพากษาคดีเขาพระวิหารเมื่อปี 2505 และออกคำสั่งมาตรการชั่วคราวคือ ให้ไทยถอนทหารทั้งหมดจากดินแดนของกัมพูชาโดยไม่มีเงื่อนไข, ห้ามไทยมีกิจกรรมทางทหารใดๆ ในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และงดทำกิจกรรมใดๆ ที่จะเพิ่มความขัดแย้งในการตีความ จนว่าศาลจะตีความคำพิพากษาแล้วเสร็จ
ต่อมาวันที่ 18 ก.ค.2554 ศาลโลกมีคำสั่งออกมาตรการชั่วคราว 4 ประการ ให้ทั้ง 2 ฝ่ายถอนทหารทั้งหมดจากเขตพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 17.3 ตร.กม. ซึ่งกำหนดให้เป็นเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone - PDZ), สั่งไม่ให้ไทยขวางทางเข้าออกปราสาทพระวิหารของฝ่ายกัมพูชา ให้ทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินการตามกรอบอาเซียน และงดเว้นการกระทำใดๆ ที่ทำให้ข้อพิพาทรุนแรงมากขึ้น จนกว่าศาลจะมีคำตัดสินเกี่ยวกับคำขอตีความ
ก่อนในวันที่ 11 พ.ย. 2556 ศาลโลกจะมีคำพิพากษาว่า ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ไทยต้องถอนทหารออกจากปราสาทและบริเวณใกล้เคียง แต่ศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้กัมพูชาได้พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร และไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มีผลผูกพันไทยแต่อย่างใด ซึ่งหากตัดภาพมาในปัจจุบัน การขึ้นชม “เขาพระวิหาร” ต้องขึ้นจากฝั่งกัมพูชาเท่านั้น หลังไทยปิดทางขึ้นฝั่งไทย ในส่วนพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ก็ยังไม่ถูกปักปัน จึงเป็นหน้าที่ที่สองประเทศต้องเจรจาหาทางแก้ไขปัญหาเขตแดนกันต่อไป
ที่มา: สถาบันพระปกเกล้า, กระทรวงต่างประเทศ, ถาม-ตอบกรณีเขาพระวิหาร