“เราไม่ได้เลือกที่จะมาอยู่ในเมือง แต่โครงสร้างบีบให้เราต้องเข้ามา”ตัวแทนของเสียงหนึ่ง ที่สะท้อนอีกหลายเสียงของกลุ่มชาติพันธุ์คนรุ่นใหม่ ที่วันนี้โอกาสเปิดกว้างสำหรับพวกเขาให้ได้เข้ามาศึกษาเล่าเรียน และทำงานอยู่ภายในเมือง เปีย-ศรสวรรค์ วัจน์นาถรุ่งโรจน์ เยาวชนชาวม้งจากจังหวัดเชียงราย ประธานเครือข่ายเยาวชนนักศึกษาชาติพันธุ์ม้ง เป็นหนึ่งในคนที่ต้องจากบ้านมาฝึกงานที่กรุงเทพฯ เพราะเธอเล็งเห็นว่า ถ้าต้องการที่จะพัฒนาตนเองเธอจำเป็นต้องอยู่ในเมือง“เราไม่มั่นใจว่าคำว่าคนอยู่กับป่า จะสำคัญต่อไปในอนาคตมากน้อยแค่ไหน” เปียหยุดคิดเมื่อถูกถามว่าคนรุ่นใหม่ยังจำเป็นต้องอยู่กับป่าไหม “เราที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่เกิดและเติบโตในป่าก็ยังสงสัยด้วยซ้ำว่า หรือจริงๆ เราไม่ควรอยู่ในป่า”บนทางแยกของกลุ่มชาติพันธุ์ ในวันที่คนรุ่นพ่อแม่กำลังต่อสู้เพื่อสิทธิ ‘คนอยู่ร่วมกับป่า’ แต่กลับเกิดคำถามท่ามกลางคนรุ่นใหม่ ในวันที่พวกเขาส่วนหนึ่งออกมาใช้ชีวิตอยู่ในเมือง การอยู่ร่วมกับป่าที่เกิดและเติบโตมายังจำเป็นต่อชีวิตพวกเขาหรือไม่?ชาติพันธุ์ในเมืองหลวงที่จำเป็นต้องอยู่เปียเดินทางเข้ามาฝึกงานในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2024 ภายใต้โครงการอาสาสมัครนักสิทธิมนุษยชน โดยเลือกฝึกงานกับ ActLab Thailand ทำหน้าที่ในการสนับสนุนเครือข่ายอื่นๆ ที่ขับเคลื่อนเรื่องประชาธิปไตย รวมทั้งเรียนรู้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เหตุผลที่เธอเลือกฝึกงานด้านนี้เพราะมองว่า ปัญหาเรื่องสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ใช่ปัญหาเชิงปัจเจกหรือภายในพื้นที่เพียงอย่างเดียว แต่คือประเด็นเชิงโครงสร้าง รวมทั้งข้อกฎหมายที่ออกโดยผู้มีอำนาจในฝั่งนิติบัญญัติ“ถ้าโครงสร้างสังคมดี จะส่งผลต่อปัญหาที่ตัวเราและชุมชนเราเผชิญอยู่ได้”เปียกล่าว พร้อมบอกว่าคนรุ่นพ่อแม่เธอมองเห็นปัญหาเหล่านี้ แต่มีอุปสรรคในยุคสมัยก่อนที่ขัดขวางทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้ามาต่อสู้ในกลไกส่วนกลางได้ แต่วันนี้สถานการณ์แตกต่างออกไป เราได้เห็นแล้วว่ามีกลุ่มชาติพันธุ์หลายคนที่ได้เข้าไปเป็นปากเสียงอยู่ในรัฐสภา“กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ทำให้คนเหงา มันมีชุมชนหลากหลายแบบก็จริง แต่ใช่ว่าเราจะเข้ากับชุมชนเหล่านั้นได้”สิ่งที่แลกมากับการได้เรียนรู้สิ่งใหม่คือการที่เปียต้องไกลบ้านมาอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ คนเดียว เธอเล่าว่าเวลาที่อยู่ในเมืองต้องคอยระวังในการใช้ชีวิต รวมทั้งความคิดถึงบ้านที่หลีกเลี่ยงไม่ได้“สุดท้ายแล้วอะไรคือวิถีชีวิตของเรา” เปียตั้งคำถาม “การอยู่ในเมืองหรือการอยู่กับป่า ถ้าตัวตนของเราคือการอยู่กับป่า แต่วันหนึ่งต้องมาอยู่ในเมืองหลวง อย่างนั้นถือว่าวิถีชีวิตของเรายังหลงเหลืออยู่ไหม”ตลอดชีวิตของเปีย เธอมักได้ยินมาตลอดว่า คนม้งต้องอยู่กับภูเขาอยู่กับน้ำ แต่วันนี้เธอไม่มีสิทธิเลือกได้ทุกอย่าง เมื่อเธอเลือกที่จะทำงานเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และต้องการพัฒนาตัวเองรวมทั้งเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง เปียจำเป็นต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมือง“เราอยากอยู่บ้าน และสามารถเข้าถึงความรู้ได้เทียบเท่ากับการอยู่ในเมือง” เปียกล่าวในตอนท้ายต่อประเด็นนี้ “กลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้ต้องการที่จะอยู่แบบเดิม เราต้องการพัฒนาตัวเอง แต่จะเป็นการพัฒนาอย่างไรที่จะไม่ทำให้ตัวตนของเราหล่นหายไป”กลับคืนสู่ผืนป่า-เมื่อเมืองทำให้เจ็บปวด-ถึงเวลากลับบ้าน“เราเคยไปฝึกงานร้านสะดวกซื้อที่กรุงเทพฯ เป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีเลย อาจเพราะเราเป็นชนเผ่าพื้นเมืองและพูดภาษาไทยกลางไม่ชัด พอฝึกงานจบเลยตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน”ญาดา ชนิตเหมตระกูล เป็นเยาวชนกะเหรี่ยงจากบ้านแม่นิงใน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ที่เคยมีความฝันในวัยเด็กว่าโตขึ้นอยากมีงานและเงิน ทำให้เธอตัดสินใจเข้ามาเรียนและทำงานในเมืองเชียงใหม่ เมื่อเรียนจบเธอได้โอกาสฝึกงานร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพฯ 1 ปี แต่ภาพที่เธอฝันไว้กลับไม่ได้เป็นดั่งใจหวัง“กรุงเทพฯ แทบไม่หลงเหลือฤดูกาล ของทุกอย่างต้องซื้อตั้งแต่น้ำยันอาหาร” ญาดาเปรียบเทียบชีวิตในเมืองกับที่บ้าน “ไม่เหมือนตอนอยู่บ้าน แต่ละฤดูกาลเราสัมผัสได้ ถ้าฤดูฝนในไร่หมุนเวียนจะได้กินผักสดๆ อยู่กับครอบครัวตื่นเช้ากินข้าวด้วยกัน แม้เหนื่อยกายแต่ไม่เคยเหนื่อยใจ”ญาดาอดทนฝึกงานอยู่ที่กรุงเทพฯ 1 ปี และตัดสินใจเดินทางกลับมาอยู่ที่บ้าน ปัจจุบันเธอเป็นอาสาสมัครให้กับ The Pgakenyaw Association for Sustainable Development ทำงานพัฒนาชุมชน สร้างกลุ่มคนรุ่นใหม่ และสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ชุมชน“ความคิดเปลี่ยนไปจากที่เคยอยากมีชีวิตได้เงินอยู่ในเมือง แต่พอไปทำงานจริงมันไม่ใช่แบบนั้น เขาให้ทำอะไรก็ต้องทำ วันนี้จึงมีความสุขที่ตัดสินใจกลับบ้าน”ญาดาเป็นหนึ่งในตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับป่าตามวิถีชีวิตดั้งเดิมของพ่อแม่ เธอมีความฝันอยากให้ชุมชนของเธอกลายเป็นชุมชนต้นแบบในเรื่องการทำไร่หมุนเวียน และเปิดโอกาสให้คนภายนอกได้เข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยง“แค่พูดออกมาน้ำตาก็จะไหล” ญาดากล่าวเมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรหากวันหนึ่งไม่สามารถอยู่ในป่าได้ “ป่าคือลมหายใจของตัวเรา”ในมุมมองของญาดากฎหมายพ.ร.ฎ. ป่าอนุรักษ์ เป็นกฎหมายที่กำลังจะไล่ผู้คนออกจากป่าทางอ้อม โดยการจำกัดสิทธิในการอยู่อาศัย ทำให้วิถีชีวิตโดยเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์เปลี่ยนไป“ถ้าวันหนึ่งไม่ได้อยู่กับป่าคงเสียใจ เพราะว่าชุมชนเราอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ถ้าวันหนึ่งไม่มีแล้ว ไม่ใช่แค่เราแต่คนรุ่นต่อไปจะอยู่อย่างไร” ญาดากล่าวทิ้งท้ายคนรุ่นใหม่คิดอย่างไรกับพ.ร.ฎ. ป่าอนุรักษ์เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าและภาคีเครือข่าย ทยอยมารวมตัวกันที่ประตูทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาข้อเรียกร้องและยุติการบังคับใช้กฎหมายที่กระทบต่อประชาชนในเขตป่าทั่วประเทศ โดยเฉพาะ พ.ร.ฎ. โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562ภัทรดร ธาราอุดมสุข หรือ ดอน คนรุ่นใหม่ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงคือหนึ่งในผู้เข้าร่วมการชุมนุมและขึ้นปราศรัย เขากล่าวว่าหากไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้อง หากไม่ยืนยันในสิ่งที่ควรเป็นสิทธิของตนเอง ความยุติธรรมจะไม่มีวันเกิดขึ้น“แม้ว่าผมจะไม่ได้ทำเกษตรและใช้ชีวิตอยู่ในเมือง แต่เรื่องสิทธิในที่ดิน ยังคงมีความสำคัญเพราะนี่ไม่ใช่แค่ที่ดินเปล่าๆ แต่มันคือที่ดินที่อยู่กับผมมาตั้งแต่เกิด เป็นผืนดินที่หล่อเลี้ยงชีวิต บ่มเพาะวัฒนธรรม และเป็นพื้นที่บรรพบุรุษของเรา”ดอนมองว่าพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติฯ เข้ามาจำกัดสิทธิและวิถีชีวิตของชุมชน มันไม่ใช่แค่การแย่งชิงที่ดินทำกิน แต่เป็นการทำลายอัตลักษณ์และรากเหง้าชาติพันธุ์ของเขา ดังนั้นสำหรับดอนแนวคิดคนอยู่กับป่า ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำเกษตร แต่เป็นเรื่องของการดำรงอยู่ในฐานะคนชาติพันธุ์“ที่ดินไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยการผลิตทางเศรษฐกิจ แต่เป็นพื้นที่แห่งองค์ความรู้ ภูมิปัญญา ประเพณี และความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เราต้องการให้นโยบายที่ดินสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเคารพวิถีชีวิตของชุมชน เราไม่ได้ต้องการตัดขาดจากป่า แต่ต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของป่า และชุมชนของเราเอง”ดอนอธิบายต่อว่าการที่เขาหรือคนรุ่นใหม่กลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาอยู่ในเมือง ไม่ได้หมายความว่าจะละทิ้งวิถีชีวิตแบบเก่า แต่ตรงกันข้ามการได้สัมผัสวิถีชีวิตทั้งสองฝั่ง ทำให้ดอนยิ่งเห็นคุณค่าของวิถีชีวิตดั้งเดิม และเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ควรได้รับการอนุรักษ์ ไม่ใช่แค่เพื่อคนชาติพันธุ์ แต่เพื่อเป็นทางเลือกให้กับสังคมโดยรวม“ผมออกมาเรียกร้องและตั้งคำถามต่อ พ.ร.ฎ. ฉบับนี้ เพราะผมเห็นว่า นโยบายนี้กำลังละเลยและบิดเบือนความเป็นจริง การบังคับใช้กฎหมายโดยไม่เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วม ยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง”สำหรับกระแสตอบรับของคนรุ่นใหม่ต่อเรื่องนี้ ดอนมองว่าอาจยังไม่กว้างขวางเท่าที่ควร หากเทียบกับคนรุ่นใหม่ทั้งหมด ที่ส่วนใหญ่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองและมีวิถีชีวิตที่ห่างไกลจากเรื่องที่ดินทำกิน แต่กลุ่มคนที่สนใจนั้นมีความกระตือรือร้นและพร้อมที่จะเป็นกระบอกเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยพยายามทำให้คนอื่นเห็นว่า แนวคิดคนอยู่กับป่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับคนรุ่นเขา“ผมไม่ยอมรับว่าคนรุ่นผมจะไม่ได้อยู่ร่วมกับป่า ไม่ว่าวันข้างหน้าเราจะอยู่ในรูปแบบไหน อาจจะไม่ใช่การทำไร่ทำนาแบบดั้งเดิม แต่เรายังคงสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้เสมอ”ดอนอธิบายว่าสำหรับเขาการอยู่ร่วมกับป่ามีหลายมิติ เช่น การเป็นผู้พิทักษ์ป่า, การสืบทอดภูมิปัญญาการจัดการป่า, หรือแม้กระทั่งการเชื่อมโยงวิถีชีวิตในเมืองเข้ากับการอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายที่คนรุ่นเขาต้องก้าวข้าม ดอนเน้นย้ำว่าอย่างไรชีวิตของพวกเขาก็ตัดขาดจากป่าไม่ได้ เพราะป่าคือส่วนหนึ่งของตัวตนกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งยังสามารถถ่ายทอดออกมาได้ในหลายรูปแบบสักวันคนรุ่นใหม่ต้องกลับบ้านเช่นเดียวกับประเสริฐ พนาไพโรจน์ หรือรถตู้ ศิลปินนักวาดภาพชาวกะเหรี่ยง ที่วันนี้ผลงานของเขาเป็นที่โด่งดังจากการเคยออกรายการ Super 100 อัจฉริยะเกินร้อย รวมทั้งมีคนจากทั้งในและต่างประเทศซื้อผลงานของเขาไปครอบครอง และงานศิลปะเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเขาไม่ได้เกิดและเติบโตมากับป่า“ศิลปะของผมมาจากวัฒนธรรมกะเหรี่ยง ตอนเด็กๆ เวลาผมไปไร่บนยอดเขา เห็นพ่อกับแม่ทำพิธีกรรม ผมมักจะเอาถ่านฟืนมาวาดรูปตามพื้นดิน”จุดเริ่มต้นเล็กๆ ของรถตู้หล่อเลี้ยงความฝันในการเป็นศิลปินของเขาจนมาถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันรถตู้รับราชการเป็นครูสอนวิชาศิลปะ ที่จ.กำแพงเพชร เขาเป็นคนรุ่นใหม่อีกคนที่ต้องไกลบ้านเพื่อออกไปตามความฝัน“ผมไม่ได้วางแผนจะอยู่ในเมืองตลอดชีวิต ผมมาแค่ช่วงเวลาหนึ่งเพราะสุดท้ายผมตั้งใจกลับบ้าน”รถตู้รู้ดีว่าแม้วันหนึ่งจะกลับไปอยู่บ้าน เขาคงไม่ได้ทำไร่หมุนเวียนเต็มเวลาเหมือนพ่อของเขา แต่ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องสืบสานระบบไร่หมุนเวียนให้คงอยู่ในพื้นที่ที่เล็กลง และในมุมมองของศิลปิน เขามองช่วงเวลานี้คือจุดเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย คนรุ่นเขามีอัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์อยู่ในตัว แต่ก็เกิดการปะทะทางวัฒนธรรม เมื่อส่วนใหญ่ต้องเข้ามาอยู่ในเมือง“ผมเคยทำงานศิลปะเลียนแบบคนอื่น อาจารย์บอกว่าทำไมไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง หลังจากนั้นมางานศิลปะของผมทุกชิ้น คือการนำเอาช่วงชีวิต พิธีกรรมของชาวกะเหรี่ยงมาวาดรูป”ไม่ต่างจากวิถีชีวิตของรถตู้ที่ต้องมาอยู่ในเมือง เขาพยายามปรับตัวในการใช้ชีวิต แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นคนกะเหรี่ยงผ่านการแต่งกาย ภาษาพูด และผลงานศิลปะ เขากล่าวว่าสุดท้ายแล้วกลุ่มชาติพันธุ์คนรุ่นใหม่หลีกเลี่ยงการปะทะทางวัฒนธรรมไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือการปกป้องวิถีชีวิตของตัวเอง ไม่ให้วัฒนธรรมอื่นๆ กลืนกินอัตลักษณ์ของตนเองไปเสียหมด“ยังจำเป็นอยู่ไหมกับการต้องอยู่กับป่า” เปียทวนคำถามอีกครั้ง หลังจากที่เธอไม่มั่นใจว่าคนรุ่นใหม่กลุ่มชาติพันธุ์จะคิดเหมือนเธอหรือไม่ “ถ้าตัวเรามองว่าจำเป็น เพราะบั้นปลายสุดท้ายที่นั่นคือบ้านของเรา”เปียกล่าวว่ามีความชัดเจนอยู่แล้วว่าคนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้ และกฎหมายอนุรักษ์ที่ออกมาเธอมองว่าไม่ใช่แค่เรื่องของการที่รัฐอยากจะอนุรักษ์ แต่คือการที่รัฐต้องการควบคุมคน และไม่ได้มองว่ากลุ่มชาติพันธุ์เป็นกลุ่มคนที่จะช่วยอนุรักษ์ป่าได้ แต่กลับใช้มุมมองเรื่องความมั่นคงมาเฝ้าระวัง“พวกเขาไม่เคยมองความเป็นจริงว่าคนที่อยู่ตรงนั้น เขามีวิถีชีวิตเป็นอย่างไร เราไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ฎ. ป่าอนุรักษ์ และกฎหมายควรต้องมาจากผู้คน” เปียกล่าวทิ้งท้ายบทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรี่ย์ ‘คนในป่าอยู่ร่วมกับการอนุรักษ์ป่าได้หรือไม่’ โดยเครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง