จากกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศนโยบายกำแพงภาษี เก็บภาษี (Universal Tariffs) 10% กับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา และภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับบางประเทศในอัตราส่วนที่ไม่เท่ากัน โดยมีผลบังคับใช้ 9 เม.ย. แต่สหรัฐฯ ได้ระงับการเก็บภาษีดังกล่าวออกไป 90 วันเพื่อให้ประเทศคู่ค้ายื่นข้อเสนอเจรจา ซึ่งจะครบกำหนดดังกล่าวในวันที่ 9 ก.ค.นี้
แต่ล่าสุด 6 ก.ค.สก็อตต์ เบสเซนต์ รมว.คลัง สหรัฐฯ กล่าวว่า จะมีการส่งหนังสือไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อแจ้งอัตราภาษีใหม่และเปิดทางให้มีการเจรจา หากไม่สามารถทำข้อตกลงกันได้ก็จะบังคับใช้มาตรการภาษีในวันที่ 1 ส.ค. แต่ยืนยันว่านี่ไม่ใช่เส้นตายใหม่
ทั้งนี้ 10 ประเทศอาเซียน ต่างโดนเก็บภาษีในอัตราที่ต่างกันไป โดยสูงที่สุดคือกัมพูชา ที่ 49% ขณะที่ไทย ถูกเก็บ 36% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาแต่ละประเทศต่างเดินหน้ายื่นข้อเสนอเจรจาของตัวเอง แต่ล่าสุดมีเพียง "เวียดนาม" ที่บรรลุข้อตกลงได้ รายละเอียดเป็นอย่างไร ไทยรัฐออนไลน์ รวบรวม
...
เวียดนาม
เวียดนาม ถูกเก็บภาษีที่ 46% แต่ล่าสุด 3 ก.ค.ได้บรรลุข้อตกลงการเจรจากับทางสหรัฐฯ แล้ว โดยถือเป็นชาติที่ 3 ของโลกต่อจากจีน และสหราชอาณาจักร และเป็นชาติแรกของอาเซียน โดยเสนอให้สหรัฐฯ เก็บภาษี 20% สำหรับสินค้าเวียดนาม และเก็บ 40% สำหรับสินค้าที่ประเทศอื่นส่งออกผ่านเวียดนาม ซึ่งจะมีการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า (Country of Origin) มีการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดว่ามีการเพิ่มมูลค่าในเวียดนามแล้วอย่างน้อย 35-40% และให้สหรัฐฯ สอบสวนสินค้าต้องสงสัยได้
นอกจากนี้ เวียดนามจะเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ โดยไม่เก็บภาษีนำเข้า หรือภาษี 0%
ประเทศไทย
ไทย ถูกเก็บภาษี 36% สถานะยังอยู่ระหว่างการเจรจา โดยก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลได้ตั้ง 5 ข้อเสนอในการเจรจา คือ เพิ่มความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ไทย-สหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูป และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล ลดอุปสรรคทางการค้าทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี (NTBs) เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าพลังงาน เกษตร และเครื่องบิน บังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า และส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น
ต่อมาวันที่ 3 ก.ค.นายพิชัย ชุณหวชิระ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ได้นำทีมบินไปสหรัฐฯ เพื่อเจรจาภาษี แต่ยังไม่ได้ผล โดยได้ฟีดแบ็กกลับมาและได้ยื่นข้อเสนอไปใหม่ โดยเมื่อวันที่ 6 ก.ค.สำนักข่าวบลูกเบิร์ก รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายพิชัย ว่าไทยยื่นข้อเสนอใหม่เปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้าถึงตลาดสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมได้มากขึ้น ซื้อสินค้าพลังงานและเครื่องบินโบอิ้งเพิ่ม ตั้งเป้าลดดุลการค้า ที่ไทยเกินดุล 46,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.48 ล้านล้านบาท) ลง 70% ภายใน 5 ปี และบรรลุจุดสมดุลภายใน 7-8 ปี
รมว.คลัง ตั้งเป้าว่าจะเจรจาให้เก็บภาษีในอัตราที่ดีที่สุดที่ 10% หรือจะเป็น 10-20% ก็ยังถือว่ายอมรับได้ โดยชี้ว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นคือไทยได้รับข้อตกลงที่แย่ที่สุดในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค
มาเลเซีย
มาเลเซีย ถูกเก็บภาษี 24% สถานะยังอยู่ระหว่างการเจรจา ข้อมูลล่าสุดเมื่อ 27 พ.ค. มาเลเซีย ได้ตั้ง 4 ข้อเสนอ คือ ลดการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ ลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เพิ่มความปลอดภัยทางเทคโนโลยี และหาความเป็นไปได้ในการทำข้อตกลงทวิภาคี โดยตั้งเป้าเจรจาลดภาษีให้เหลือ 10% หรือให้น้อยกว่า 24% ที่ถูกตั้งไว้
ฟิลิปปินส์
ฟิลิปปินส์ ถูกเก็บภาษี 17% สถานะยังอยู่ระหว่างการเจรจา ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา มารีเคย์ คาร์ลสัน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำฟิลิปปินส์ กล่าวว่าทั้ง 2 ประเทศ กำลังเร่งทำงานอย่างหนักเพื่อบรรลุข้อตกลงการเจรจา ก่อนหน้านี้ ฟิลิปปินส์เสนอจะนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น เช่น ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์แช่แข็ง และยินดีจะลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs)
อินโดนีเซีย
อินโดนีเซีย ถูกเก็บภาษี 32% สถานะยังอยู่ระหว่างการเจรจา ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ก.ค. อินโดนีเซียเสนอจะนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 34 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.1 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากกว่ามูลค่าที่สหรัฐฯ ขาดดุลอินโดนีเซียที่ 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.19 แสนล้านบาท) โดยในข้อเสนอนี้รวมการซื้อพลังงานมูลค่า 5.5 แสนล้านบาท และเปลี่ยนการนำเข้า LPG จากตะวันออกกลางมาเป็นสหรัฐฯ รวมถึงการนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังเสนอให้สหรัฐฯ มาร่วมลงทุนกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ “ดานันตารา” ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่สำคัญ โดยก่อนหน้านี้อินโดนีเซียได้เสนอจะผ่อนคลายกฎระเบียบในการนำเข้าสินค้า 10 กลุ่มจากสหรัฐฯ เช่น ปุ๋ย รองเท้า และนำวัตถุดิบ (Raw Materials) ด้านอุตสาหกรรม เช่น พลาสติก ผลิตภัณฑ์เคมี ออกจากลิสต์สินค้าจำกัดการนำเข้า
...
ขณะที่มีรายงานด้วยว่า สายการบินการูด้า เจรจาจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้งสูงสุด 75 ลำ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าอยู่ในแผนการเจรจาภาษีหรือไม่
กัมพูชา
กัมพูชา ถูกเก็บภาษี 49% ซึ่งมากที่สุดในอาเซียน โดยสถานะยังอยู่ระหว่างการเจรจา และข้อเสนอยังไม่มีการเปิดเผยชัดเจน ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา กัมพูชา ออกแถลงการณ์ว่า ได้บรรลุกรอบการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ หลังนาย ซุน จันทอล รองนายกฯ ได้พูดคุยกับ ซาราห์ เอลเลอร์แมน ผู้ช่วยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก โดยรายละเอียดจะมีการเปิดเผยเร็วๆ นี้
นายจันทอลระบุว่า ทางกัมพูชาได้ยื่นข้อเสนอต่อสหรัฐฯ ทั้งอัตราภาษีใหม่ เงื่อนไขการส่งออก และกรอบการเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ
ทั้งนี้กัมพูชาส่งสินค้าไปสหรัฐฯ มูลค่าราว 9.1 พันล้านดอลลาร์ (3.2 แสนล้านบาท) หรือ 37% ของการส่งออก หรือคิดเป็นสัดส่วน 24.8% ของ GDP โดยสินค้าส่วนใหญ่คือเสื้อผ้าและรองเท้า
ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน คือ ลาว เมียนมา และบรูไน ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดการเจรจาที่ขัดเจน ขณะที่สิงคโปร์ เป็นประเทศที่สหรัฐฯได้ดุลการค้า และไม่ถูกเก็บภาษีต่างตอบแทนตั้งแต่แรก ถูกเก็บเพียงภาษีศุลกากร 10% เท่านั้น
ขอบคุณ : nst, asiapacific, thediplomat, thediplomat, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย , globalnation
...