ทีมข่าว SEE TRUE ลงพื้นที่เลาะตะเข็บชายแดน 798 กิโลเมตร สำรวจเส้นแบ่งแผ่นดินไทย-กัมพูชา มรดกเลือดยุคล่าอาณานิคม ที่กลายเป็นปมขัดแย้งยาวนานมาถึงปัจจุบัน เพื่อตามหาคำตอบว่าอะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

สำหรับชายแดนไทยและกัมพูชา มีการปักปันเขตแดนตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส ซึ่งแบ่งเป็น 2 ห้วงด้วยกัน

ห้วงแรก ปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 ได้จัดทำแผนที่แสดงเขตแดนมาตราส่วน 1:200,000 จำนวน 5 ระวาง ซึ่งตอนนั้นเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ยังเป็นของไทย แต่ว่าการปักปันในห้วงนี้ ยังไม่มีการปักหลักเขตแดน

ห้วงที่สอง ปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1907 มีการทำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 อีก 5 ระวาง ซึ่งในห้วงนี้ มีการแลกเปลี่ยนเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ จึงยกเลิกแผนที่ที่ทำในห้วงแรก 3 ระวางด้านล่าง เหลือ 2 ระวางด้านบนคือโขง และดงรัก ส่งผลให้มีแผนที่ที่เหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน 7 ระวาง

จากนั้น ก็มีการปักหลักเขตแดนไว้ 73 หลัก และหลักย่อยอีก 1 หลัก โดยหลักที่ 1 อยู่ที่อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนหลักสุดท้ายที่ 73 อยู่ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด

...


ปัจจุบันผ่านมาร้อยกว่าปี  แต่ไทยกับกัมพูชายังมีข้อพิพาทกันเรื่องเขตแดนจนเกิดการปะทะกันหลายครั้ง และเกิดความตึงเครียดตลอดแนวชายแดน เสมือนว่าการปักปันเขตแดนในอดีต ได้กลายเป็นมรดกเลือดยุคล่าอาณานิคม ที่ตกทอดมาถึงสมัยปัจจุบัน

SEE TRUE เดินทางสำรวจเขตแดนเริ่มจาก “สามเหลี่ยมมรกต” หรือ “ช่องบก” อำเภอน้ำยืน อุบลราชธานี จุดเริ่มต้นเหตุพิพาทครั้งล่าสุด ที่ทหารสองฝ่ายปะทะกันราว 10 นาที เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ก่อนสถานการณ์จะตึงเครียด ลุกลามขยายวงกว้างไปตลอดแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา มาถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว

จากนั้นจึงไล่ลงมาทางศรีสะเกษ ซึ่งมีจุดพิพาทใหญ่อย่าง “เขาพระวิหาร” ที่เคยพิพาทและปะทะกันเมื่อปี 52 และการปะทะครั้งใหญ่สุดเมื่อปี 54 มาจนถึงทุกวันนี้ ทหารกัมพูชารุกคืบเข้ามายังบริเวณจุดชมวิวภูผี ใกล้ปราสาทโดนตวล ซึ่งถือว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่มีปัญหากัน

ผู้ที่ต้องอยู่กับความหวาดผวาไฟสงครามมากที่สุดคงหนีไม่พ้นคนชายแดน

ที่หมู่บ้านภูมิซรอล อำเภอกันทรลักษณ์ หมู่บ้านสุดท้ายก่อนขึ้นเขาพระวิหาร "ป้าต้อย" สดศรี ผาหอม ผู้ที่เคยสูญเสียจากการสู้รบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 54 เปิดใจว่า ไม่อยากให้เกิดการสู้รบกัน อยากให้ทั้งสองประเทศเจรจา แต่ไทยก็ต้องไม่เสียดินแดนที่เคยอยู่มาก่อน

“เขาให้เตรียม บอกว่าถ้ามีคำสั่ง ถ้าเขายิง เขาก็ให้ออก ไม่ให้ไปทางถนนใหญ่ เตรียมพร้อมทางนี้แล้ว มันติดกันกับชายแดน  เราไม่คาดถึงว่ามันจะเกิด  (สามี)แกก็มาเรียกแม่และหลานอีกคน หลานตอนนั้นอยู่ ป.4  จูงแขนหลานไปซ่อนอยู่คลองน้ำนู่น คลองมันแห้ง ไม่มีน้ำ แกไม่คิดว่าเขาจะยิงสูงมาขนาดนี้ ปกติมันก็ยิง แต่ว่ายิงอยู่ตามแนวชายแดน ปืนเล็ก ปืนอาร์พีจี ยิงกับทหารไทยประจำแต่ว่ามันไม่ถึงในหมู่บ้าน"

"แต่ช่วงปี 54 มันยิงถึง แตกตื่นหนีตายหมดทุกคน กระทั่งพ่อ (สามี) ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก เอาศพมาไม่ได้ เอาไว้วัดสว่างกันทรลักษณ์ ซ่อนไว้ยังไม่ได้เผา พอสงบแล้วจึงได้เผา แล้วเอากระดูกแกมาไว้นี่ แกว่าแกอยากอยู่ตรงนี้ อยากให้เขาจบกันด้วยดี ให้มัน..ไม่ต้องเสียดินแดน ให้เราไม่ต้องเสียดินแดนให้เขา แผ่นดินเราอยู่ไหน ก็อยู่นั่นแหละ ตอนนี้หลัก (เขตแดน) มันอยู่ไหน ต้องพูดกับเขมรให้ชัดนะ บอกว่าให้มันอยู่นี่ก็ให้มันอยู่นี่แหละ อย่าขยับมา ฉันไม่ขยับไป คุณก็อย่าขยับมา อยากให้เป็นแบบนี้ คือภาษาบ้านเราก็คือแดนหน้าเดียวกัน ตัวนี้มันแดนระหว่างประเทศ”


จากช่องบก อุบลราชธานี ผ่านเขาสัตตะโสม เขาพระวิหาร ยาวไปจนถึงช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ ศรีสะเกษ ระยะทาง 195 กิโลเมตร ไม่ได้มีการปักหลักเขตแดน เพราะว่ากำหนดให้เส้นเขตแดนเป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก ตามแผนที่ระวางโขง และระวางดงรัก ที่จัดทำไว้ในห้วงแรก สนธิสัญญาปี 1904

ดังนั้นหลักเขตแดนที่ 1 จึงเริ่มจากบริเวณช่องสะงำ ส่วนหลักเขตต่อๆ ไป ก็จะปักไล่ไปทางตะวันตกด้านจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ แต่ว่าสถานการณ์ตึงเครียดตอนนี้ ทำให้ไม่สามารถเข้าไปดูหลักเขตแดนที่ 1 ได้

...

เดินทางต่อไปยัง “ปราสาทตาควาย” อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหลักเขตแดนที่ 21 และหลักเขตแดนที่ 22 สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสมรภูมิการสู้รบอย่างหนักมาก่อน ในปี 54 ทำให้ทหารกัมพูชาสูญเสียเป็นจำนวนมาก แต่หลังการปะทะกันนาน 12 วันได้ยุติลง ทั้งสองฝ่ายได้ส่งทหารไม่ติดอาวุธฝ่ายละ 2 นาย ประจำอยู่ในบริเวณปราสาท และเปิดให้ผู้คนทั้งสองประเทศเข้าไปท่องเที่ยวได้ ซึ่งมีบางวันที่ชาวกัมพูชาเข้ามาแสดงสัญลักษณ์ จนเกิดความปั่นป่วน

จากปราสาทตาควายไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตร มีปราสาทเก่าแก่อีก 1 แห่ง ที่เคยเป็นสมรภูมิรบอันดุเดือดระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาเมื่อปี 54 เช่นกัน นั่นคือ “ปราสาทตาเมือนธม” ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอพนมดงรัก ใกล้หลักเขตแดนที่ 22 มีช่องทางธรรมชาติที่อยู่ตรงกึ่งกลาง เรียกว่า “ช่องกลาง” หรือ “ช่องทะมอดวล” โดยกัมพูชาอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของปราสาทแห่งนี้ทั้งที่ไทยครอบครองมานานแล้ว แม้สถานการณ์จะตึงเครียด แต่ที่ปราสาทตาเมือนธมยังเปิดให้ประชาชนทั้งสองประเทศเข้ามาเที่ยวชม มีทหาร 2 ฝ่าย ฝ่ายละ 7 นาย ประจำการในปราสาท พร้อมทั้งกฎข้อห้ามต่างๆ เช่นห้ามไลฟ์สด และแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ยั่วยุปลุกปั่น

...


แต่หากย้อนเวลาไปไกลกว่านั้นในปี 2522 ถึงปี 2534 ในยุคสงครามกลางเมืองกัมพูชา พื้นที่ชายแดนแถบนี้เคยเป็นฐานที่มั่นของ “เขมร 3 ฝ่าย” ผนึกกำลังต่อต้านรัฐบาลนายเฮง สัมริน หลังเวียดนามส่งทหารยึดครองกัมพูชาจากเขมรแดง แล้วตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดเฮง สัมริน ขึ้นมา

หนึ่งในฝ่ายต่อต้านที่ปักหลักอยู่ตรงช่องทะมอดวล คือกลุ่มนิยมเจ้าสีหนุของเจ้ารณฤทธิ์ โดยมี พล.อ.ญึก บุญชัย อดีตผู้บัญชาการหน่วยหมายเลข 1 กองทัพแห่งชาติสีหนุนิยม เป็นผู้ควบคุมชายแดนแถบนี้

ทีมข่าวพูดคุยกับ สุวรรณา คลุ้มกระโทก ผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น เนื่องจาก พล.อ.ญึก บุญชัย เข้ามาเช่าบ้านให้ลูกเมียหลบภัยสงครามในหมู่บ้านรุน อำเภอพนมดงรัก ซึ่งลึกเข้ามาจากเขตแดนตรงช่องกลาง ประมาณ 9 กิโลเมตร ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้สนิทสนมกับครอบครัวของเธอ

“เริ่มต้นจากที่เขามาเช่าบ้าน เอาลูกเมีย เอาครอบครัวเขามาอยู่ เราก็เลยสนิทกัน เพราะว่าเขาก็มาพึ่งเรา เราก็เห็นเป็นมนุษยชาติเหมือนกันเราก็สงสาร แล้วตัวหัวหน้าใหญ่ ญึก บุญชัย แกก็จะอยู่กับลูกน้องข้างในโน่นค่ะ แต่ว่าแกมาเช่าบ้านตรงนี้ให้ครอบครัวอยู่ จนเขารักแม่ฉัน เห็นแม่เป็นแม่ของพวกเขาเลย ยิ่งพี่ญึก บุญชัย แกรักแม่มาก” สุวรรณา กล่าว

หลังสงครามภายในกัมพูชาสงบในปี 2534 และมีการเลือกตั้งปี 2536 จากนั้น 9 ปีต่อมา ในปี 2545 อบต.ตาเมียง ได้จัดงาน "เยี่ยมเยือนตาเมือน เดือนเมษา" ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งมีการขายบัตรให้ชาวกัมพูชา เข้ามาเที่ยวนับหมื่นคน จากนั้นก็จัดงานเรื่อยมาเป็นประจำทุกปี มีมหรสพ การชกมวย ประกวดธิดาตาเมือน ซึ่งชาวกัมพูชาก็ซื้อบัตรเข้ามาเที่ยวชมปีละนับหมื่นคน ถือเป็นหลักฐานหนึ่งที่ระบุได้ว่าไทยครอบครองและใช้ประโยชน์จากปราสาทตาเมือนธมมานานมากแล้ว

...

แต่หลังการปะทะกันอย่างหนักในปี 54 ทำให้ต้องหยุดจัดงานไปในปี 55 ก่อนจะกลับมาจัดงานอีกครั้งตั้งแต่ 56 ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่ได้ให้ชาวกัมพูชาเข้ามาเที่ยวเหมือนเดิมแล้ว

ทีมข่าวพบกับพลเอกญึก บุญชัย อดีตนายทหารกลุ่มนิยมเจ้าสีหนุของเจ้ารณฤทธิ์ ซึ่งที่ผ่านมาเขาเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในรัฐบาลสมเด็จฮุนเซน ถึง 2 สมัย เพื่อถามถึงความเห็นต่อการคลี่คลายสถานการณ์ไทยกับกัมพูชา เพราะว่าเมื่อครั้งรบกันปี 52 และปี 54 พล.อ.ญึก บุญชัย ซึ่งในขณะนั้นเป็นรองนายกฯ ถือว่าเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการเจรจาสงบศึก เพราะรู้จักทหารไทยค่อนข้างเยอะ และในการปะทะกันที่ช่องบกล่าสุด อดีตรองนายกฯ คนนี้ ก็ยังเป็นคนแนะนำให้สมเด็จฮุนเซน ให้ปรับกำลังทหาร ลดการเผชิญหน้ากัน

“ปัญหาที่ผมลงไปดู ความจริงแล้วมันเกี่ยวกับการใช้แผนที่ กัมพูชาใช้แผนที่สนธิสัญญาฝรั่งเศส-ไทย ที่ปราสาทตาเมือนโต๊ด ตาเมือนธม อยู่ดินแดนของกัมพูชา ส่วนไทยอาจจะใช้แผนที่อีกแบบหนึ่ง ที่ดูแล้วอันนี้อยู่ในดินแดนไทย เราเลยทะเลาะกันหาที่จบยาก ต้องเข้าไปจบที่ศาลโลก ศาลโลกก็ต้องใช้แผนที่ที่ UN มี เมื่อตัดสินมา เราก็จะยอม” พล.อ.ญึก บุญชัย กล่าว

อย่างไรก็ดีไทยกับกัมพูชามีกลไกจัดการเขตแดนที่ไม่ต้องไปถึงศาลโลกอยู่แล้ว โดยในช่วงปี 2537 หลังสงครามภายในกัมพูชาสงบ ไทยกับกัมพูชาได้เริ่มเจรจาปัญหาเขตแดน จนต่อมาใน 2540 ทั้งสองฝ่ายได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC เพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตลอดแนวร่วมกัน ให้เส้นเขตแดนมีความชัดเจน เพราะว่าบางหลักได้สูญหาย หรือถูกเคลื่อนย้าย และตั้งอยู่ห่างกันมาก นั่นทำให้แม้จะสำรวจเจอหลักเขตแดนเดิมแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะตกลงกันได้

ต่อมาปี 2543 รัฐบาลทั้งสองฝ่าย ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู 43 เห็นชอบให้มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตลอดแนวร่วมกัน โดยให้เป็นไปตามหลักฐานทางกฎหมายในอดีต ซึ่งปัจจุบัน สำรวจหลักเขตแดนได้แล้ว 74 หลัก มีความเห็นตรงกัน 45 หลัก ไม่ตรงกัน 29 หลัก นั่นทำให้กระบวนการของ JBC ยังไม่แล้วเสร็จ ถกเถียงกันมาจนถึงปัจจุบัน

ติดตามได้ในภารกิจ SEE TRUE ให้คุณเห็นความจริง ติดตามต่อเนื่องตั้งแต่ 14-16 ก.ค. 68 ทางรายการไทยรัฐนิวส์โชว์ หลังเวลา 21.00 น.