"ประเทศไทย" ได้-เสียอย่างไร หลังถูกสหรัฐฯ เก็บภาษี 19% "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ชี้เป็นอัตราที่ดีกว่าเดิมและแข่งขันได้ คาดการณ์ GDP ปี 2568 เติบโต 1.5%
วันนี้ (1 ส.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดี ประกาศอัตราภาษีนำเข้าหลายสิบประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับในอีก 7 วันข้างหน้า ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ที่บรรลุการเจรจาได้ภาษีที่ 19% จากที่สหรัฐฯ เคยประกาศก่อนหน้านี้ที่ 36% ดังนี้
- สินค้าไทย ส่งออกไปสหรัฐฯ ถูกเก็บภาษี 19%
- สินค้าสหรัฐฯ ส่งเข้ามาไทย ราว 90% ของสินค้าทั้งหมด ได้ภาษี 0%
- สินค้าสวมสิทธิ จากไทยไปสหรัฐฯ ถูกเก็บภาษี 40%
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงรายละเอียดบางส่วน ในรายการ "กรรมการข่าว คุยนอกจอ" โดยระบุว่า มีการให้ภาษี 0% กับสหรัฐฯ กว่า 90% ของสินค้านำเข้าทั้งหมด หรือราว 10,000 รายการ แต่ส่วนใหญ่เป็นรายการที่ไทยเปิดการค้าเสรี (FTA) อยู่ที่ 0% ให้ประเทศที่มีข้อตกลงอยู่แล้ว เช่น ออสเตรเลีย จีน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
...
1. สินค้าที่ไทยไม่สามารถผลิตเองได้ เมื่อเข้ามาแล้วไม่ถูกเก็บภาษี ราคาสินค้าในตลาดก็จะถูกลง
2. สินค้าที่ไทยผลิตเองได้แต่ไม่เพียงพอ ซึ่งหากนำเข้าเพิ่มก็จะกระทบกับผู้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ในไทย ซึ่งทางรัฐบาลได้ขอเวลาในการปรับตัว เช่น ขอระยะเวลา 5 ปีก่อนปรับเป็น 0% หรือขอกำหนดโควตาได้หรือไม่
3. สินค้าที่ไทยมีรายการที่ซื้อจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอยู่แล้ว แต่สหรัฐฯ ไม่ได้ขาย และไทยก็เสนอให้ทั้งที่รู้ว่าสหรัฐฯ ไม่มีขาย ทำให้รายการสินค้าดูเยอะ
“เช่น ลำไย เขาไม่ปลูกแต่เราเสนอให้เขา ทั้งที่รู้ว่าเสนอไปเขาก็ไม่ส่งมาทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าเราเสนอเขาในรายการที่มากขึ้น” นายพิชัย กล่าว
ขณะที่เรื่องสินค้าสวมสิทธิ (Transhipment) ยังไม่ได้มีการตกลงกติกาที่ชัดเจนว่าสัดส่วนการเพิ่มมูลค่าการผลิตในไทยต้องเป็นกี่ % แต่คาดว่าไม่น้อยกว่า 40% แน่นอน ซึ่งหากตรวจพบว่าสินค้าเข้าเกณฑ์สวมสิทธิ์ จะโดนภาษีในอัตรา 40% ซึ่งสหรัฐฯ ใช้อัตรานี้เป็นมาตรฐานทั่วโลก
ขณะเดียวกัน รมว.คลัง ยังได้เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าข้อตกลงกับสหรัฐฯ ยังไม่มีข้อผูกพัน เป็นเพียงกรอบข้อตกลงเบื้องต้นว่าจะทำอะไรบ้าง และจะนำกรอบนี้ไปเจรจาเพื่อนำมาซึ่งสัญญาในรายละเอียดที่เจาะจงในแต่ละประเด็นต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยรายงานว่าการที่สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าไทยที่อัตรา 19% เป็นอัตราที่ดีกว่าเดิม และแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนได้ ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา อีกทั้งอัตราภาษีดังกล่าวยังต่ำกว่าอัตราภาษีที่อินเดียได้รับ ที่ 25%
ขณะที่ภาพการค้าโลกก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากความไม่แน่นอนทางการค้าที่ลดลง รวมถึงหลายประเทศได้รับอัตราภาษีที่ลดลงจากที่ประกาศไว้ในเดือน เม.ย. ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนมุมมองต่อการส่งออกไทยอีกทางหนึ่ง
สำหรับ อัตราภาษีสินค้าสวมสิทธิ (Transshipment) ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บในอัตรา 40% คาดส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเพื่อ Re-export ไปยังตลาดสหรัฐฯ ผ่านไทยซึ่งก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศต่ำนั้นมีแนวโน้มชะลอลง โดยขึ้นอยู่กับการบังคับใช้มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local content) อย่างจริงจัง ที่อาจช่วยลดแรงกดดันต่อภาคการผลิตไทย
นอกจากนี้ ภาษีนำเข้าของไทยเทียบกับภูมิภาคที่ไม่แตกต่างกัน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ดีการไหลเข้ามาของสินค้านำเข้าจากจีนเพื่อบริโภคในประเทศคาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาคการผลิตในปีนี้คาดว่าจะยังหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
สำหรับการยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ราว 90% ของสินค้าทั้งหมด รวมถึงลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีลงนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ อาจไม่ทำให้สินค้าสหรัฐฯ ไหลบ่าเข้ามาในไทยมากอย่างที่กังวล เนื่องจาก
- สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีอัตราภาษี MFN เป็น 0% อยู่แต่เดิม
- สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไทยไม่สามารถผลิตได้ หรือผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์บางรายการที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง อีกทั้งขึ้นอยู่กับความสามารถทางการแข่งขันด้านต้นทุนของสินค้าสหรัฐฯ ในแต่ละอุตสาหกรรม
- สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลายรายการอาจมีต้นทุนสูงกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้านำเข้าจากตลาดอื่นโดยเฉพาะตลาดที่ไทยมี FTA อยู่แต่เดิม
อย่างไรก็ตาม หากไทยต้องเพิ่มโควต้านำเข้าสินค้าพลังงานและเกษตรจากสหรัฐฯ อาทิ สินค้าเกษตรอย่างถั่วเหลือง ข้าวโพด รวมถึงเนื้อสัตว์ คาดว่าจะกระทบเกษตรกรรายย่อย และในบางกรณีจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้น และอาจจะส่งผ่านมายังเงินเฟ้อในระยะถัดไป ทั้งนี้ยังต้องติดตามความชัดเจนของการเปิดตลาดสินค้าเกษตรในรายละเอียด รวมถึงมาตรการเยียวยาจากภาครัฐ
...
นอกจากนี้ต้องติดตามนโยบายการค้าของสหรัฐฯ เพิ่มเติม โดยเฉพาะผลกระทบจากรายการสินค้าภายใต้ Section 232 ที่คาดว่าจะมีการประกาศเพิ่ม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และไม้แปรรูป และยังต้องติดตามประเด็นทางกฎหมายเรื่องอำนาจการบังคับใช้ภาษี Reciprocal tariff ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนไต่สวนอยู่ ขณะที่ไทยอยู่ระหว่างเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ร่วมกับสหภาพยุโรป (EU) และแคนาดา ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดอื่นนอกจากสหรัฐฯ มากขึ้น
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดส่งออกจะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตดีขึ้นเล็กน้อยที่ 1.5% จากเดิม 1.4% ท่ามกลางท่องเที่ยวโตต่ำกว่าคาด
อัตราภาษีที่ดีขึ้นและแข่งขันได้ ปรับมุมมองการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ดีขึ้นกว่าเดิม โดยคาดว่าจะหดตัวลดลงมาอยู่ที่ -7.4% YoY และการส่งออกไทยทั้งปี 2568 ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3.4% เพิ่มขึ้นจากประมาณการก่อนหน้าที่ 1.5% ทั้งนี้ การส่งออกไทยในครึ่งปีหลังที่ยังหดตัวเป็นผลจากการเร่งส่งออกสูงในช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวถึง 15.0% YoY ประกอบกับมีปัจจัยฐานการส่งออกทองคำที่สูงในครึ่งหลังของปี 2567
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยเผชิญปัจจัยกดดันที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณที่อาจต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.5% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2568 คาดว่าจะลดลงจากประมาณการเดิมมาอยู่ที่ราว 32.2 ล้านคน ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 5 ปี จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังคงไม่กลับมา
...
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, กรรมกรข่าว คุยนอกจอ