เทียบกำลังกองทัพไทย-กัมพูชา ถ้ามีการปะทะอีกครั้งริมชายแดน อดีตนายทหารประเมิน ไทยควรใช้เทคโนโลยีลดการสูญเสียแนวหน้า พร้อมรุกคืบเข้าไปจากแนวเดิมประมาณ 1 กิโลเมตร ที่สำคัญต้องจัดการระดับผู้สั่งการในแนวหลัง
การประชุม GBC พรุ่งนี้ (7 ส.ค. 68) เป็นวันสุดท้ายที่ไทยและกัมพูชาจะร่วมโต๊ะวงประชุม โดยจะมีตัวแทนชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐเข้าร่วมด้วย แต่แนวโน้มการประชุมก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่ต้องพักการประชุม เนื่องจากข้อตกลงขัดแย้งกัน ซึ่งต้องจับตาว่าต่อจากนี้การเจรจาจะยุติ หรือจะเกิดการปะทะกันอีกครั้ง โดยหลายคนมองว่า ถ้าเกิดปะทะกันอีก ครั้งนี้จะรุนแรงกว่าครั้งแรก
พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ มองการเจรจา GBC ของไทย-กัมพูชาที่มาเลเซีย ก่อนจะมีการประชุมในวันสุดท้ายพรุ่งนี้ (7 ส.ค. 68) ว่า สถานการณ์ความตึงเครียดริมชายแดนของไทย-กัมพูชาคาดว่าจะมีการปะทะกันอีกรอบ แต่มีหลังการประชุม GBC หรือในอีกสักระยะต้องจับตาดู
กำลังพลของทหารไทยและกองทัพกัมพูชา หากมีการปะทะครั้งใหม่ แม้ไทยมีศักยภาพการรบที่เหนือกว่า แต่มีจุดอ่อนในบางด้าน ที่เห็นได้จากการปะทะในครั้งแรก ทางที่ดีไม่ควรมีการยิงกันอีกครั้ง
...
การปะทะครั้งแรกไทยใช้กำลังพลไปสู้รบในแนวหน้ามากเกินไป ทั้งที่จริงควรใช้เทคโนโลยีในการรบมาช่วยในแนวหน้ามากกว่านี้ ที่ผ่านมามีการใช้กำลังพลซุ่มยิงที่ถือว่ามีประสิทธิภาพ เพราะอยู่ในระยะไกล ทำให้มีการบาดเจ็บน้อย
สิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนในการปะทะครั้งถัดไป ทหารไทยควรใช้อากาศยานที่สามารถกราดยิงทหารราบฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งการปะทะครั้งแรกไทยใช้ F-16 ที่ปล่อยระเบิดทีละลูก พอหมดต้องบินกลับมาติดตั้งใหม่ ส่วนการรบภาคพื้นก็ใช้ปืนใหญ่
สิ่งสำคัญไทยควรใช้เครื่องบินที่ติดปืนในการใช้กราดยิงลงมาได้ มีเกราะที่ตัวเครื่องเพื่อป้องกันอาวุธของฝ่ายตรงข้ามที่ยิงสวนขึ้นมา หรือถ้าโดนอาวุธที่รุนแรง สามารถบินกลับมาฐานใกล้เคียงได้
ตัวอย่างเช่น เครื่องบิน A-10 เป็นเครื่องบินไอพ่นที่สนับสนุนหน่วยภาคพื้นดิน โดยเฉพาะการปราบรถถังและรถเกราะลำเลียงพล ด้วยปืนกลขนาดใหญ่ A-10 สามารถบรรทุกอาวุธได้มาก สามารถบินลาดตระเวนได้เป็นเวลานาน มีความคล่องตัวสูง สามารถบินเข้าโจมตีด้วยอัตราเร็วต่ำ มีเกราะป้องกันห้องนักบินเครื่องยนต์และระบบบังคับการบิน ซึ่งเครื่องบินชนิดนี้สามารถขอเจรจาซื้อจากสหรัฐได้
ถ้าประเมินความน่ากลัวของกองทัพกัมพูชา มีโดรนที่ติดปืนและระเบิดแสวงเครื่อง แต่การรบของกัมพูชาตอนนี้เหมือนกับรัสเซีย ในการที่มีกำลังพลได้ไม่จำกัด แต่ทหารไทยสูญเสียมากไม่ได้ นี่ถือเป็นข้อจำกัด
ไทย-กัมพูชา ถ้ามีการปะทะครั้งใหม่ ปัจจัยที่จะตัดสินคือการโจมตีแนวหลัง ที่ต้องจัดการในระดับผู้สั่งการ เพราะในการปะทะครั้งแรกเป็นการรบกันในแนวหน้า โดยมีผู้สั่งการในแนวหลัง แต่ถ้าต้องการจัดการให้จบโดยเร็ว และสูญเสียกำลังน้อยต้อง "เด็ดหัวระดับผู้สั่งการ”
...
ขณะเดียวกัน ต้องทำลายระบบการสื่อสาร ระบบบังคับโดรน ปืนใหญ่ และจรวดหลายลำกล้อง หากทำลายจุดเหล่านี้ได้ จะสามารถหยุดกองทัพกัมพูชา เพื่อให้เกิดการเจรจาได้ทันที
ทหารไทยถ้ามีการปะทะครั้งใหม่ ต้องเปิดแนวรบให้ลึกกว่านี้ ประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อทำลายจุดยุทธศาสตร์ และระดับผู้บัญชาการรบที่อยู่แนวหลัง
“สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำ หากมีการปะทะกันอีกครั้ง หลังเจรจาประชุม GBC ไม่สำเร็จ ต้องประกาศให้ชัดว่า กัมพูชาไม่ยอมรับกับข้อเสนอสันติภาพที่ไทยได้เสนอไป เพื่อให้นานาประเทศรับทราบถึงความชัดเจนของไทย"