รัฐบาลผ่อนผันแรงงานกัมพูชาในไทย ทำงานต่อได้ 6 เดือน "ภาคประชาสังคม" มองว่าจำเป็นเพื่อรักษาแรงงานในระบบ โดยเฉพาะในภาคเกษตร ที่ยากจะหาคนมาแทนได้ในเวลาอันสั้น
วันที่ 13 ส.ค. 2568 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศอนุญาตคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทยในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาลบริเวณชายแดนตาม ม.64 ที่ครบวาระการจ้างงานหรือครบกำหนดอนุญาตในการพำนักในพื้นที่ชายแดน สามารถทำงานในประเทศไทยได้อีก 6 เดือนไม่ต้องข้ามแดนไปต่ออายุด้วยเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 2568 โดยให้ไปแจ้งตัวกับด่านตรวจคนเข้าเมืองภายใน 15 วันหลังประกาศ จากนั้นไปรายงานตัวทุก 30 วัน
มาตรา 64 คืออะไร?
มาตรา 64 คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล อนุญาตเฉพาะแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย (ปัจจุบันมี 2 สัญชาติคือ เมียนมาและกัมพูชา) โดยจะต้องเข้าประเทศด้วยบัตรผ่านแดน (Border Pass) และทำงานในจังหวัดชายแดนไทยที่เดินทางเข้ามาเท่านั้นไม่สามารถข้ามไปทำงานในจังหวัดอื่นได้ ต้องระบุประเภทงานไว้อย่างชัดเจนและทำงานได้ครั้งละไม่เกิน 3 เดือน แต่ขณะเดียวกันแรงงานสามารถอยู่ในไทยได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน ทำให้ต้องมีการเข้า–ออกผ่านจุดผ่านแดนถาวรแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ
ยกตัวอย่างเช่น นายเอ (นามสมมติ) ชาวจังหวัดพระตะบอง กัมพูชา ใช้บัตรผ่านแดน (Border Pass) เข้าประเทศไทยที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม จ.จันทบุรี มีใบอนุญาตทำงานตามฤดูกาล 3 เดือนในสวนลำไยที่ จ.จันทบุรี ดังนั้นทุกๆ 30 วัน นายเอ จะต้องกลับไปที่กัมพูชาก่อน จากนั้นค่อยกลับเข้ามาใหม่เพื่อทำงานต่อ
...
จำเป็นต้องทำ เพื่อรักษาแรงงานในระบบ
นายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) เปิดเผยว่า โดยทั่วไปแรงงาน ม.64 จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. แบบไปเช้าเย็นกลับ ซึ่งมีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นแรงงานในตลาดโรงเกลือ ซึ่งอยู่ติดกับด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว
2. ตามฤดูกาล คือเข้ามาทำงานในประเทศไทย 3 เดือน เช่น ทำงานสวนผลไม้ ซึ่งนายจ้างมักจะจัดที่พักอาศัยในไทยให้อยู่แล้ว เพียงแต่แรงงานต้องไปเข้า-ออกที่ด่านทุก 30 วัน
เมื่อมีการปิดด่านชายแดน ทำให้เกิดปัญหาแรงงานไม่สามารถเดินทางเข้า-ออกได้ กลายเป็นอยู่อย่างผิดกฎหมาย มติ ครม.จึงออกมารองรับปัญหานี้ กล่าวคือ จากปกติที่ต้องไปเข้า-ออกที่ด่านถาวรทุก 30 วัน ก็ให้ไปรายงานตัวที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทุก 30 วันแทน และจากที่ทำงานได้แค่ 3 เดือน ก็สามารถต่ออายุได้อีก 1 ครั้ง รวมเป็น 6 เดือน
แรงงานกัมพูชาตามจังหวัดชายแดน ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 3-4 หมื่นคน ในช่วงที่มีความต้องการใช้แรงงานมากก็อาจจะพุ่งไปถึง 5-6 หมื่นคน ส่วนใหญ่ทำงานในจังหวัดชายแดนทางภาคตะวันออกมากกว่าอีสาน โดยอยู่ในภาคการเกษตร การบริการ และการค้าขายชายแดนเป็นหลัก
นายอดิศร มองว่าการออกมาตรการมีความจำเป็นในการรักษาแรงงานในระบบ ในช่วงนี้ภาคการเกษตรมีความต้องการแรงงานสูงมาก โดยเฉพาะลำไยและอ้อย ที่ต้องการแรงงานมากกว่า 6-7 หมื่นคน การหายไปของแรงงานกัมพูชาทำให้แรงงานไม่เพียงพอ และยากที่จะหาคนอื่นมาทดแทนได้ทันในระยะเวลาอันสั้นหรือทันฤดูกาลเก็บเกี่ยว
เลิกพึ่ง “แรงงานกัมพูชา” ถาวรทำได้ยาก
นายอดิศร เปิดเผยว่า ในส่วนของภาพรวมทั้งประเทศ ไทยมีแรงงานกัมพูชาราว 5 แสนคน จากการประเมินพบว่าน่าจะเดินทางกลับประเทศแล้วมากกว่า 3 แสนคน จะเห็นได้ว่าแรงงานในภาคการผลิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยอุตสาหกรรมแรกที่ได้รับผลกระทบคือ ภาคการเกษตร
อันดับ 2 คือภาคการก่อสร้าง โดยเฉพาะผู้รับเหมารายย่อยที่ไม่สามารถหาคนงานมาทดแทนได้ ซึ่งในอุตสาหกรรมนี้มีแรงงานกัมพูชามากเป็นอันดับ 2 รองจากแรงงานเมียนมา ที่ประมาณ 1 แสนกว่าคน หรือในภาคส่วนอื่นๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนในโซน จ.ระยอง ที่มีแรงงานกัมพูชาค่อนข้างมาก หรือในภาคบริการบางส่วน ก็เริ่มได้รับผลกระทบ
...
อย่างไรก็ดีคาดว่าแรงงานกัมพูชาจะไม่หายไปถาวร เพราะการจ้างงานแรงงานกัมพูชาที่ชายแดนทำกันเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว ซึ่งพวกเขามีวิธีในการอยู่ร่วมกัน และเท่าที่สอบถามแรงงานชาวกัมพูชาก็พบว่าส่วนใหญ่ไม่อยากกลับ แต่ต้องกลับเพราะกังวลในเรื่องของความปลอดภัยหรือทางครอบครัวอยากให้กลับ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีข่าวแรงงานกลับเข้าประเทศไทยแบบไม่ถูกต้องมากขึ้น
นายอดิศร ยังมองว่า ประเทศไทยคงเลิกพึ่งพิงแรงงานกัมพูชาไปเลยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องมาแก้ปัญหาอื่นๆ ที่ตามมา ทั้งปัญหาการลักลอบเข้าเมือง การขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ที่ รมว.แรงงาน กล่าวว่าจะนำแรงงานจากศรีลังกา เนปาล ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียมาทดแทน มองว่าทำได้ยากเพราะมีต้นทุนสูง และต้องมาปรับทักษะหลายๆ อย่าง รวมถึงเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างกันด้วย และไม่รู้ว่าตัวแรงงานเองจะรู้สึกคุ้มค่าหรือไม่ เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายในการจัดหางาน การเดินทางเข้ามาทำงาน แต่ได้รับเงินค่าแรงขั้นต่ำของไทย
ชาวสวนลำไยใจชื้น
วันนี้ (15 ส.ค. 68) ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศเช้านี้บริเวณด่านถาวรบ้านแหลม จ.จันทบุรี ยังคงมีแรงงานกัมพูชารอเดินทางข้ามประเทศ ประมาณ 300 คน แต่จำนวนลดลงทุกวัน ด้านชาวสวนลำไยที่อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอโป่งน้ำร้อน รู้สึกใจชื้นขึ้น หลังจากมีการประกาศให้แรงงานชาวกัมพูชา มาตรา 64 สามารถอยู่ต่อได้อีก 6 เดือน เนื่องจากจะเป็นการช่วยให้เกษตรกรสามารถมีแรงงานไว้ใช้เก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงนี้ได้ถึงจะไม่เพียงพอก็ตาม
...
นายสุชาติ วัย 55 ปี เจ้าของสวนลำไย ใน อ.โป่งน้ำร้อน ให้ข้อมูลว่า ในช่วงนี้มีปัญหาในเรื่องแรงงานเก็บเกี่ยวเป็นอย่างมาก เนื่องจากกำลังขาดแคลน ตนเองแก้ปัญหาโดยการหาแรงงานจากภาคอีสานมาทดแทนแรงงานกัมพูชา แต่ต้องมาฝึกหัดใหม่ งานอาจจะล่าช้ากว่าเดิมแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เสียหาย ส่วนที่มีการประกาศผ่อนผันให้แรงงานชาวกัมพูชาตามมาตรา 64 สามารถอยู่ทำงานต่อได้อีก 6 เดือน ตนเองรู้สึกใจชื้นขึ้น ที่จะมีแรงงานไว้ทำงานต่อ แต่ชาวกัมพูชาบางคนก็มีทั้งกลับและที่จะไม่กลับ เนื่องจากทราบว่ากลับไปบ้านเกิดแล้วไม่มีกิน จึงต้องอยู่ทำงานในเมืองไทยต่อก็มี
นางสาวขวัญ อายุ 34 ปี แรงงานชาวกัมพูชา เผยว่า ทำอาชีพเก็บลำไยในไทยมาประมาณ 6 ปีแล้ว มีความเชี่ยวชาญ ส่วนแรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่กลับบ้านไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ตนยืนยันว่าไม่ได้ดูถูกประเทศตัวเอง แต่อยู่เมืองไทยมีรายได้มากกว่า