เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 6:3 ให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกฯ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ปมคลิปเสียงสนทนาสมเด็จฮุนเซน 

วันนี้ (29 ส.ค. 2568) ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 6 ต่อ 3 ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกฯ เนื่องขาดคุณสมบัติไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ส่งผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม) ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะด้วย โดยมีรายละเอียดคำวินิจฉัยดังนี้ 


“แพทองธาร” ไม่ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

ศาลพิจารณาเห็นว่า ขณะที่ผู้ถูกร้อง (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) กำลังเจรจากับสมเด็จฮุนเซน สถานการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชามีความตึงเครียดอย่างสูง แม้จะมีช่องทางการเจรจาอย่างเป็นทางการ ผ่านการประชุม JBC ร่วมกัน ในวันที่ 14 มิ.ย.แล้วก็ตาม แต่สมเด็จฮุนเซน กลับแถลงจุดยืนกดดันให้ประเทศไทยเปิดด่านผ่านแดนทั้งหมด และตอบโต้โดยการห้ามนำเข้าสินค้า น้ำมัน เรียกแรงงานกัมพูชากลับจากประเทศไทย

...

จุดยืนดังกล่าวไม่สอดคล้องกับผลการประชุม JBC เมื่อนายกฯ มีโอกาสใช้ช่องทางในการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการจึงใช้ในการเจรจา พิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องตอบรับข้อเสนอหรือความต้องการใดของสมเด็จฮุนเซน

อีกทั้งการเจรจาดังกล่าว ไม่ได้ก่อให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์ การดำรงตำแหน่งของแม่ทัพภาคที่ 2 รวมทั้งไม่มีผลต่อการเปิด-ปิดด่านตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา  

การเจรจาของผู้ถูกร้อง ยังเป็นการแสดงออกถึงความไม่นิ่งเฉยต่อปัญหาและเป็นการพยายามดำเนินการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ และมีเจตนาที่จะรักษาความสงบสุขของประชาชนในประเทศ อันเป็นหน้าที่หนึ่งของนายกฯ การกระทำของผู้ถูกร้องยังไม่มีลักษณะเป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์


“แพทองธาร” ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ศาลพิจารณาเห็นว่า ผู้ถูกร้องมีตำแหน่งเป็นนายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล จึงมี 2 สถานะตลอดเวลา คือสถานะประชาชน ที่มีเสรีภาพ และสถานะนายกฯ ที่ถูกจำกัดเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความมั่นคงของประเทศ

แม้จะเป็นการสนทนาส่วนตัว แต่เนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับการเปิดปิดด่านชายแดน ซึ่งเป็นความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่การคุยเรื่องส่วนตัว ดังนั้นการสนทนาครั้งนี้จึงเป็นการกระทำในหน้าที่ของนายกฯ

เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำและบริบทในการสนทนา แม้ผู้ถูกร้องแจงว่าเป็นเทคนิคการเจรจา ลดความตึงเครียด แต่ศาลเห็นว่าการที่ผู้ถูกร้องใช้คำว่า “เรา” เรียกตนเองและสมเด็จฮุนเซนรวมกันเป็นฝั่งหนึ่ง แต่แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคนฝั่งตรงข้ามกับเรา  สะท้อนให้เห็นว่า มีการแบ่งข้างเชิงความคิดด้านความมั่นคงในการแก้ไขปัญหาชายแดน และเกิดความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลและกองทัพ

ถ้อยคำเหล่านี้วิญญูชนย่อมเข้าใจ เป็นลักษณะแสดงความอ่อนแอทางการเมืองภายในประเทศ ให้กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศคู่ขัดแย้งทราบ หากถูกเผยแพร่ออกไปถึงกัมพูชาจะเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชานำข้อมูลดังกล่าวมาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศได้

สำหรับประเด็นที่ผู้ถูกร้องบอกว่า กระทรวงต่างประเทศไม่ได้มีหลักเกณฑ์ ขั้นตอนและวิธีการเจรจาทางการทูต สำหรับวิธีการที่ไม่เป็นทางการ และผู้ถูกร้องไม่ได้จะปฏิบัติตามคำขอทั้งหมดของกัมพูชาเพราะต้องมีการปรึกษากับหน่วยงานความมั่นคงก่อน ถ้อยคำที่ใช้เป็นเทคนิคการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง เพื่อนำมาสู่การเจรจาทางการต่อไป

ศาลพิจารณาเห็นว่าผู้ถูกร้องทราบดีอยู่แล้ว ตามคำชี้แจงของตนว่าสมเด็จฮุนเซนไม่ได้อยู่ในสถานะผู้นำรัฐบาลกัมพูชา ที่จะทำการที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้ ประกอบกับผู้ถูกร้องชี้แจงว่าภายหลังการสนทนา ยังได้มีการพูดคุยผ่านข้อความกับนายฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วย ดังนั้นกรณีนี้จึงเป็นการที่ผู้ถูกร้องประสงค์จะใช้ช่องทางเจรจาทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการควบคู่กันไป 

...

สำหรับการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการนั้นเห็นว่าไม่ว่ากระทรวงการต่างประเทศกำหนดหลักเกณฑ์เอาไว้หรือไม่ และไม่ว่าผู้ถูกร้องจะใช้เทคนิคการเจรจาอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อผู้ถูกร้องคุยในฐานะนายกฯ จึงต้องปฏิบัติตามกรอบรัฐธรรมนูญ รักษาผลประโยชน์ของชาติ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงกรอบมาตรฐานจริยธรรม ไม่ใช่ว่าจะสามารถเจรจาอย่างอิสระตามอำเภอใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีความมั่นคงของประเทศ

ผู้ถูกร้องยังทราบดีว่า สามารถเจรจาโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ร่วมบันทึกข้อมูลและมีมาตรการรักษาความปลอดภัยร่วมด้วย แต่เมื่อเลือกใช้รูปแบบการเจรจาเช่นนี้ รวมถึงเลือกเจรจาปัญหาส่วนรวมของประเทศกับสมเด็จฮุนเซนที่รู้จักกันมาก่อนเป็นการส่วนตัว จึงยิ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองและต้องรอบคอบและระมัดระวังในการเจรจามากยิ่งขึ้น 

การที่ผู้ถูกร้องใช้ถ้อยคำว่า “ให้ท่านฮุนเซนเห็นใจหลานหน่อย เพราะว่าตอนนี้คนในประเทศไทยเค้าไล่เราไปเป็นนายกที่เขมรหมดแล้ว จริงๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้ จะโพสต์หรืออะไรก็ได้ ให้ท่านฮุนเซนแนะนำก็ได้ เหมือนกับว่าต้องเป็นการตกลงร่วมมัน เพระตอนนี้อิ๊งกำลังโดนหนักมาเลย พร้อมค่ะ คือเราเปิดให้อยู่แล้ว พี่ฮวด (ล่ามกัมพูชา) แต่ต้องบอกว่าเราตกลงร่วมกันว่าจะเปิด (ด่าน)” 

...

เห็นว่าถ้อยคำดังกล่าวมีลักษณะขอให้สมเด็จฮุนเซนเห็นใจ และช่วยเหลือผู้ถูกร้องแก้ปัญหาชายแดน เนื่องจากผู้ถูกร้องกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาชนในประเทศ ทำให้เสถียรภาพรัฐบาลมีความสั่นคลอน

นอกจากนี้ยังแสดงท่าทียอมจำนวนล่วงหน้าให้สมเด็จฮุนเซนเสนอความต้องการของตนเองล่วงหน้า โดยบอกว่ายินดีจะดำเนินการให้อย่างไม่มีเงื่อนไขหรือกำหนดขอบเขตการเจรจาต่อรองโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่กลับเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชายื่นข้อเรียกร้องใดๆ ต่อฝ่ายไทยได้ตามความต้องการ

การเจรจาของผู้ถูกร้องจึงมีลักษณะยืนยันว่า ฝ่ายไทยพร้อมที่จะเปิดด่านชายแดนไทยกัมพูชา ทั้งที่ทราบดีว่า ในการประชุมร่วมของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วันที่ 6 มิ.ย. ว่าที่ประชุมมีมติให้กองทัพพิจารณาใช้อำนาจตามกฎหมายในการควบคุมจุดผ่านแดน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และแนวทางของรัฐบาล โดยพิจารณาจากเบาไปหาหนัก

จากคำเบิกความของผู้ถูกร้องเองก็บอกว่า จากกรณีปิดด่านชายแดน ไทยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยกว่ากัมพูชามาก เนื่องจากกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ต้องพึ่งพาไทย ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้องที่มีวัตถุประสงค์การเจรจาให้มีการเปิดด่านพร้อมกัน จึงเป็นไปเพื่อผลประโยชน์และความประสงค์ของสมเด็จฮุนเซน มากกว่าประโยชน์และความมั่นคงของชาติ

...

โดยพยายามรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัว และเพื่อลดการวิพากษ์วิจารณ์การจัดการแก้ไขปัญหาชายแดน โดยผู้ถูกร้องมุ่งหวังเพียงแต่ให้คะแนนความนิยมของตนในประเทศดีขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลโดยไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงซึ่งเป็นผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง 

พฤติกรรมของผู้ถูกร้องดังกล่าว ย่อมทำให้วิญญูชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้ว่า ผู้ถูกร้องจะยินยอมกระทำการตามคำขอของกัมพูชาโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ เพราะว่ามีการรู้จักกันเป็นการส่วนตัว และจะดำเนินการในการที่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายกัมพูชา

แม้ผู้ถูกร้องอ้างว่าได้แจ้งเรื่องการสนทนากับที่ประชุม สมช.ชุดเล็ก ที่บ้านพิษณุโลกในวันที่ 16 มิ.ย. แต่ก็ไม่ได้แจ้งรายละเอียด อันเป็นการปกปิดเพื่อไม่ให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบเจตนาที่แท้จริง ที่จะทำให้ผู้ถูกร้องได้รับความเสียหาย ซึ่งนายฉัตรชัย บางชวด เลขา สมช.ที่เป็นพยาน ก็ตอบคำถามว่าเพิ่งทราบรายละเอียดของบทสนทนาจากคลิปเสียงที่ถูกปล่อยออกมา 

ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกร้องที่ขอความเห็นใจจากสมเด็จฮุนเซน จึงไม่ใช่เทคนิคการเจรจาตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความรอบคอบและระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ของตำแหน่งนายกฯ ที่ควรจะมีวิจารณญาณ ผู้ถูกร้องคำนึงถึงคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาล ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง

การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการลดทอนหรือทำให้เกียรติภูมิของนายกฯ และประเทศไทยเสียหาย ทำให้ประชาชนขาดความไว้วางใจนายกฯ ที่เป็นผู้นำของประเทศ ไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ แต่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง

กรณีนี้ไม่ต้องรอให้เกิดการปะทะทางทหารระหว่างไทยและกัมพูชาจึงจะถือว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เมื่อพิจารณาประกอบกับเจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วเห็นได้ว่ามีลักษณะร้ายแรง อาศัยเหตุผลข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 เสียง ให้แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 160 (5)