คนละครึ่ง 2568 กู้วิกฤติร้านอาหาร หวังให้ถ้วนหน้า ขอขั้นต่ำ 150 บาท/วัน "สมาคมภัตตาคาร" ชี้ควรใช้แอปเป๋าตังเหมือนเดิม คาดกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเพิ่มเท่าตัว หลังสำรวจพบคนเมืองแบกค่าครองชีพ เงินในกระเป๋าติดลบ
คนละครึ่ง ปี 2568 กำลังกลายเป็นนโยบายเร่งด่วน หลังนายกฯ คนที่ 32 นายอนุทิน ชาญวีรกูล เข้ารับตำแหน่ง เพื่อมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแบบเร่งด่วน ล่าสุดมีรายงานว่า โครงการมีจัดเตรียมไว้ในส่วนงบกระตุ้นเศรษฐกิจประจำปีงบประมาณ 2569 จำนวน 25,000 ล้านบาท เพียงพอสำหรับการเริ่มต้น หากต่อมาพบว่าวงเงินดังกล่าวไม่เพียงพอ ก็สามารถโยกงบจากงบกลางมาเสริมได้ เพื่อให้โครงการดำเนินไปอย่างราบรื่น
ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย มองแนวโน้มการทำโครงการคนละครึ่ง ปี 2568 ว่า ตั้งแต่ช่วงเมษายนที่ผ่านมา มีเสียงร้องเรียนจากผู้ประกอบการร้านอาหารมาตลอดถึงยอดขายตกอย่างมาก โดยเฉพาะร้านอาหารในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ประกอบกับคนซื้อต้องการความคุ้มค่า อย่างมากเฉลี่ยมื้อละ 300 บาท
...
“ตอนนี้คนทำงานเงินเดือน 15,000 บาท แต่รายจ่าย 18,000 บาท เมื่อก่อนมีรายได้จากการทำโอที ที่เป็นเงินพิเศษในการนำมากินใช้ได้ เมื่อเงินจากการทำโอทีหายไป ทำให้ต้องมีการรัดเข็มขัด โดยร้านอาหารจานเดียวราคาจานละ 50 บาท ยังพอพยุงตัวเองอยู่ได้”
การดำเนินโครงการคนละครึ่ง ปี 2568 ผู้ประกอบการร้านอาหารมีความคิดเห็นว่า รัฐบาลควรใช้แอปพลิเคชันเป๋าตัง ที่ผู้บริโภคเคยใช้อยู่เดิมแล้วในรัฐบาลก่อน ส่วนเกณฑ์การให้เงินคนละครึ่ง ควรให้แบบถ้วนหน้า แต่สิ่งสำคัญควรให้มีการใช้จ่ายต่ำสุดวันละ 150 บาทหรือมากกว่านั้นถึงวันละ 300 บาท เพราะปกติอาหารแต่ละมื้อของประชาชนทั่วไปตกอยู่ที่มื้อละ 50 บาท
โครงการคนละครึ่งในรอบนี้ รัฐบาลอาจมีมาตรการอุดหนุนเงินให้เป็นหลายรอบ โดยรอบแรกอาจอนุมัติวงเงินให้จำนวนมากก่อน เช่น คนละ 3000 บาท ซึ่งในรอบต่อไปอาจจะลดวงเงินที่ให้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ก่อน เนื่องจากเป็นช่วงโลซีซั่น ทำให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวน้อย
ข้อมูลความสำคัญของธุรกิจร้านอาหารต่อเศรษฐกิจไทยพบว่า มีจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มกว่า690,000 ร้าน ในปี 2025 มูลค่าตลาดรวม 646,000 ล้านบาท หรือราว 3.2% ของ GDP เป็นหนึ่งในธุรกิจบริการที่มีโครงสร้างธุรกิจส่วนใหญ่เป็น SME และรายย่อย โดยกว่า 96% เป็นผู้ประกอบการบุคคลธรรมดา ซึ่งมีความเปราะบางต่อวิกฤตและต้นทุนผันผวน ธุรกิจร้านอาหารยังเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานจำนวนมาก ทั้งเกษตรกร ผู้ค้าส่ง-ค้าปลีก โลจิสติกส์