จับตาพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน 2 เขื่อนเร่งระบายใกล้วิกฤต คาดปลายเดือน ก.ย. ฝนกระหน่ำซ้ำ เช็กพื้นที่เสี่ยงกระทบ สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และภาคอีสาน

นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ เล่าถึงสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยาว่า ด้วยตอนนี้มีฝนทยอยตกลงมาภาคเหนือไปจนถึงภาคกลาง ทำให้มีน้ำไหลมาเติมในเขื่อนเจ้าพระยา ที่ผ่านมาได้รับอิทธิพลฝนจากพายุวิภา และมีพายุฝนที่ตกต่อเนื่องมาทำให้เกิดน้ำหลากบริเวณท้ายเขื่อนสิริกิติ์ ประกอบกับเขื่อนสิริกิติ์ จะมีน้ำเกินเกณฑ์การควบคุมสูงสุด ทำให้ต้องเร่งระบายน้ำ ประกอบกับในช่วงสัปดาห์นี้มีฝนตกลงมามากขึ้น


คาดว่าน้ำจะไหลผ่าน จ.นครสวรรค์ ประมาณ 2,300 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ตอนนี้เร่งระบายอยู่ที่ 2,300ลูกบาศก์เมตร/วินาที โดยตอนนี้มีการเตรียมแผนรองรับบริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยา บริเวณจังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา เตรียมพร้อมรับมือสำหรับการระบายน้ำ แต่ก็ยังมีพื้นที่บริเวณนอกคันกั้นน้ำจะได้รับผลกระทบในส่วนของระดับน้ำสูงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่อยุธยา

...

จากการคาดการณ์ห้วงต่อไปจากนี้ ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้น มีการบริหารจัดการน้ำก่อน มีการปรับลดการระบายน้ำที่มีการเร่งระบายมาก่อนหน้านี้ เพื่อชะลอน้ำที่จะไหลผ่านเขื่อนไม่ให้เกิน 2,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที แต่ถ้ามีปริมาณน้ำเกินก็จะมีการผันน้ำไปฝั่งตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นคลองชัยนาท แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำน้อย ขณะที่การผันน้ำไปภาคตะวันออก จะมีการสูบน้ำลงทะเลให้มากที่สุด


ถ้าคาดการณ์ปริมาณน้ำในเดือนกันยายน จะมีหย่อมความกดอากาศต่ำ ทำให้เกิดฝนในหลายพื้นที่ภาคกลาง และเหนือตอนล่าง โดยจะทำให้มีน้ำไหลผ่านเขื่อนประมาณ 2,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที

ปริมาณน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา และเขื่อนสิริกิติ์ คาดว่าจะมีน้ำมากสุดช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ โดยจะทำการบริหารจัดการน้ำให้ไหลผ่านเขื่อนไม่เกิน 2,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที

ต่อจากนี้ไปอีก 2 สัปดาห์ จะมีพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำวิกฤต โดยคาดว่าจะมีปริมาณน้ำมากบริเวณเขื่อนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างเขื่อนอุบลรัตน์ และเขื่อนจุฬาภรณ์ มีโอกาสน้ำล้น ไปตลอดจนลุ่มน้ำโขงบริเวณภาคอีสาน บริเวณเขื่อนที่ติดกับแม่น้ำโขงก็มีโอกาสน้ำล้น


ลุ่มน้ำเจ้าพระยาต่อจากนี้มีพื้นที่ที่เป็นตัวแปรสำคัญบริเวณลุ่มน้ำสะแกกรัง โดยช่วงที่ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านจะมีฝนมาเติม โดยตอนนี้ (วันที่ 11 ก.ย.68) ก็มีฝนตกมาเติม ถ้าน้ำในส่วนนี้ลงมาเติมก็จะทำให้ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้น

ตัวแปรสำคัญต่อจากนี้ ถ้ามีฝนตกเพิ่มขึ้นบริเวณ จ.เพชรบูรณ์ จะมีน้ำไหลเข้ามาเติมเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งถ้ามีฝนตกมากประมาณ 2 วัน จะส่งผลให้ต้องเร่งระบายน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ โดยน้ำส่วนนี้จะไหลมารวมกันที่ อ.บางไทร อยุธยา ทำให้บริเวณที่รับน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น

...


ช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ จะมีปริมาณน้ำจากฝนที่ตกเพิ่มมาเติมกับน้ำที่เร่งระบายอยู่เดิม โดยลักษณะของฝนในปีนี้ จะเป็นฝนที่ตกแบบเกลี่ยไปทั่วพื้นที่แล้วทยอยมารวมกัน และทำให้ปริมาณน้ำไหลมารวมกันแบบค่อยๆ ขยับ ซึ่งจะต่างจากปีก่อนๆ ที่ไหลมารวมกันอย่างรวดเร็ว

สำหรับกรุงเทพฯ ปีนี้ด้วยความที่ค่อยๆ ระบาย จะทำให้น้ำที่ไหลลงมาไม่เกิน 3,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที อย่างแน่นอน จึงไม่มีผลทำให้กรุงเทพฯ เกิดน้ำท่วม แม้ช่วงปลายเดือนกันยายน จะมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของไทย