#JusticeForZara แฮชแท็กร้อนโซเชียลมีเดียมาเลเซีย เรียกร้องความยุติธรรมให้ "ซาร่า" เด็กหญิงวัย 13 ปีที่เสียชีวิตปริศนา ท่ามกลางข่าวลือว่าเธอเป็นเหยื่อของการบูลลี่ และเจ้าหน้าที่ช่วยปกปิดเพราะมี VIP การเมืองเกี่ยวข้อง
ซารา ไครีนา มหาเธร์ (Zara Qairina Mahathir) เด็กหญิงวัย 13 ปี เรียนอยู่ชั้นฟอร์ม 1 หรือเทียบเท่าชั้น ม.1 ของไทย ในโรงเรียนประจำมุสลิมแห่งหนึ่ง ที่เมืองปาปาร์ ห่างจากเมืองหลวงของรัฐซาบาห์ มาเลเซียราว 40 กม. เธอถูกพบนอนหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำที่หอพักของโรงเรียน เมื่อเวลาตี 3 ของวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยตอนแรกมีการคาดว่าเธอตกจากชั้น 3 ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันมา แต่ซาร่าก็เสียชีวิตในวันถัดมาและส่งร่างให้ครอบครัวจัดพิธีศพในวันที่ 18 ส.ค. โดยที่ไม่ได้มีการชันสูตร
การตายของซาร่าทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยและความไม่พอใจไปทั่วประเทศ หลังมีข่าวลือมากมายว่าเธอเป็นเหยื่อของการถูกบูลลี่ที่โรงเรียน มีการกล่าวหาว่าเธอถูกจับปั่นในเครื่องซักผ้า โซเชียลมีเดียของมาเลเซียยังตั้งข้อสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ช่วยกันปิดข่าวเพราะคนที่แกล้งซาร่าเป็นลูกหลานตระกูลการเมืองของซาบาห์
...
ด้านครอบครัวของซาร่าก็ได้เดินหน้าเรียกร้องให้สืบสวนเรื่องนี้ใหม่อย่างเต็มที่ แต่ขณะเดียวกันทนายของครอบครัวก็ออกมาบอกว่าเรื่องถูกปั่นในเครื่องซักผ้าเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
ด้านนักการเมืองฝ่ายค้านก็ยกเคสนี้มาเรียกร้องว่าทำไมจึงไม่มีการชันสูตรทั้งที่ร่างกายของซาร่ามีบาดแผล และเรียกร้องให้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการลาออกเพื่อรับผิดชอบความล้มเหลวในการแก้ปัญหาบูลลี่ในโรงเรียน ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนในหลายพื้นที่ออกมารวมตัวกันเดินขบวนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้เธอด้วย อาทิ ในเมืองซิปิตัง รัฐซาบาห์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของซารามีคนมารวมตัวเดินขบวนให้เธอกว่า 5 พันคน
ทำให้วันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ทางผู้บัญชาการตำรวจซาบาห์ ได้ออกมาเปิดเผยว่าตอนนี้กำลังมีการสืบสวนอย่างละเอียด และล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ขุดร่างของเธอขึ้นมาในวันที่ 9 ส.ค. และทำการชันสูตรใหม่ในวันที่ 10 ส.ค. โดยมีประชาชนนับพันคนมารวมตัวกันที่หน้าโรงพยาบาลท่ามกลางสายฝนเพื่อแสดงการสนับสนุน โดยทนายความของซาร่าแจ้งว่าผลการชันสูตรเด็กหญิงน่าจะทราบภายใน 2 สัปดาห์
สะเทือนถึงการเมืองมาเลเซีย
กรณีของซาร่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อ่อนไหวสำหรับ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ที่กำลังชิงฐานอำนาจทางการเมืองในรัฐซาบาห์ ซึ่งเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ
ประเทศมาเลเซียปกครองแบบสหพันธรัฐ (Federalism) ซึ่งมีรัฐทั้งหมด 13 รัฐและพื้นที่ของรัฐบาลกลาง (federal territory) อีก 3 แห่ง (กัวลาลัมเปอร์, ปูตราจายา และลาบวน) ซึ่งแต่ละรัฐมีรัฐบาลท้องถิ่นและสภานิติบัญญัติของตนเอง โดยมีจำนวนที่นั่งแตกต่างกันไปตามขนาดรัฐและจำนวนประชากร
รัฐบาลรัฐซาบาห์ มีสภานิติบัญญัติ 73 ที่นั่ง มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากรัฐซาราวักที่มี 82 ที่นั่ง โดยจะหมดวาระ 5 ปีในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ และต้องมีการเลือกตั้งใหม่ใน 60 วัน โดยมี 4 กลุ่มการเมืองหลักที่เป็นพันธมิตรกันในรัฐบาลกลางมาเลเซียแต่เป็นคู่แข่งกันในรัฐซาบาห์ คือ พันธมิตรปากาตัน ฮารัปปัน (PH) ของนายกฯ อันวาร์, บาริซัน นาซิออนแนล (BN) ที่นำโดย UMNO และ 2 กลุ่มการเมืองท้องถิ่นหลัก คือ กาบูนัน รักยัต ซาบาห์ (GRS) และพรรคปาร์ตี วาริซัน ซาบาห์
รัฐบาลท้องถิ่นรัฐซาบาห์ปัจจุบัน เป็นรัฐบาลผสม นำโดยพรรค GRS ร่วมมือกับ PH และ BN
ล่าสุด 9 ส.ค. นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าคดีของซาราจะถูกสอบสวนอย่างโปร่งใสและไม่มีการประนีประนอมใดๆ และขออย่านำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นการเมืองหรือเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูล
...
รองศาสตราจารย์ชะฮ์รุดดิน อาวัง อาเหม็ด ผู้เชี่ยวชาญด้านประชาสัมพันธ์ภาครัฐ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมาเลเซียซาบาห์ กล่าวกับสำนักข่าว New Straits Times ว่า พรรคฝ่ายค้านอาจใช้ประเด็นการขาดความโปร่งใสและความยุติธรรม ในการวิพากษ์วิจารณ์ความเชื่อมั่นของรัฐบาลปัจจุบันได้ และอาจใช้ประเด็นความปลอดภัยของเด็กและการกำกับดูแลโรงเรียนมาเป็นแคมเปญหลักในการหาเสียง
คดีนี้ถูกโยงเข้ากับการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ทางทฤษฎีว่ามีครอบครัวนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่รวมถึงแนวทางการดำเนินคดีที่ไม่ถูกจัดการให้เหมาะสมแต่แรก ความล้มเหลวในการชันสูตรศพ ทำให้เกิดคำถามถึงบกพร่องของกระบวนการทั้งในระดับรัฐบาลรัฐและรัฐบาลกลาง
“ผู้คนกำลังจับตามองว่าคดีนี้จะมีความโปร่งใสและความรับผิดชอบเกิดขึ้นหรือไม่ ความเชื่อมั่นของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนหนุ่มสาวและคนมีครอบครัว อาจมีผลต่อการลงคะแนนเลือกตั้ง คดีนี้กลายเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับรัฐบาล”
“หากผลการสอบสวนครั้งใหม่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของสาธารณชน อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและรัฐบาลอย่างมาก หากพิจารณาจากความไม่พอใจในวงกว้างและการออกมาเรียกร้องความยุติธรรม ผลสอบสวนที่ขัดแย้งหรือการไม่ได้ข้อสรุปอาจถูกมองว่าเป็นการพยายามปกปิดคดีได้”
“สิ่งนี้อาจยิ่งเติมเชื้อไฟความไม่พอใจของประชาชน นำไปสู่การประท้วงและแคมเปญในโซเชียลมีเดียที่ส่งผลกระทบทางลบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลชุดปัจจุบันก่อนถึงการเลือกตั้งรัฐซาบาห์ เพราะประชาชนรู้สึกว่าข้อกังวลของพวกเขาถูกละเลย”
...
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาร์โนลด์ ปูโยก จากมหาวิทยาลัยมาเลเซีย ซาราวัก กล่าวกับสำนักข่าว The Straits Times ว่า รัฐบาลซาบาห์ปัจจุบันถูกมองว่าอ่อนแอจากปัญหาอื่นๆ อยู่แล้ว เช่น ปัญหาไฟฟ้าและน้ำประปาถูกตัดเป็นประจำ ดังนั้นประเด็นการเสียชีวิตของซาร่าอาจถูกฝ่ายค้านนำมาโจมตีพรรคร่วมรัฐบาลมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยในหลายการประท้วงพบว่ามีการพุ่งเป้าไปยังชนชั้นการเมือง VVIP แม้ว่าจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้จริงหรือไม่
โอห์ ไอ ซุน นักวิชาการอาวุโสจาก Singapore Institute of International Affairs กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตร PH ที่นำโดยนายกฯ อันวาร์ จะลำบากมากขึ้นในการเลือกตั้ง เพราะถูกตำหนิว่าพวกเขาเงียบเฉยต่อประเด็นนี้ในช่วงแรก และการประท้วงส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเขตเมืองซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของ PH ซึ่งคนเหล่านี้ไม่พอใจที่ PH ร่วมรัฐบาลกับ GRS อยู่แต่เดิมแล้ว
...
ทั้งนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการและคณะรัฐมนตรีรัฐซาบาห์ ต่างออกมาปฏิเสธว่าไม่มีสมาชิกในครอบครัวเกี่ยวข้องกับคดีนี้
ล่าสุด 12 ส.ค. รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย รับจดหมายจากกลุ่มเคลื่อนไหว #JusticeForZara ที่ระบุข้อเรียกร้อง 4 ข้อในการแก้ปัญหาการรังแกในโรงเรียนและมาตรการความปลอดภัยในระบบการศึกษา ดังนี้
1. เรียกร้องให้มีการปฏิรูปโครงสร้างระบบการศึกษาทั่วประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นการรังแกในโรงเรียน ซึ่งทางกระทรวงศึกษาได้ตอบรับโดยการออกมาตรการเบื้องต้นเพื่อยกระดับความปลอดภัยในสถานศึกษาของรัฐ เช่น สั่งให้มีการตรวจสอบความปลอดภัย ปรับปรุงระบบรับเรื่องร้องเรียนการบูลลี่ ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปด้านความปลอดภัย บังคับใช้มาตรการลงโทษที่เข้มงวดขึ้น เช่น การพักเรียนหรือไล่ออก ให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตในทุกระดับ เป็นต้น
2. เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการประชุมร่วมกับนักเรียนและภาคประชาสังคม ในการพัฒนามาตรการจัดการการบูลลี่ให้เป็นมาตรฐานชัดเจนและเข้มงวด ซึ่งทางกระทรวงฯ เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ และจะจัดการประชุมร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจงถึงมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ยินดีที่จะเปิดรับฟีดแบคและข้อเสนอแนะในการพัฒนา
3. เรียกร้องให้มีการฝึกอบรมครู ผู้บริหาร และผู้ดูแลนักเรียน ในการจัดการหรือแทรกแซงภาวะวิกฤต การจัดการอารมณ์ของนักเรียน และการจัดการข้อร้องเรียนของนักเรียนที่ตกเป็นเหยื่ออย่างมืออาชีพ ซึ่งทางกระทรวงฯ เน้นย้ำว่า แนวทางการจัดการประเด็นบูลลี่จะถูกบังคับใช้อย่างเข้มงวดในทุกโรงเรียนของรัฐ และจะมีการฝึกอบรมบุคลากรต่อไป
4. ให้มีการชี้แจงต่อสาธารณะถึงประเด็นที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการดำเนินการของโรงเรียน ซึ่งทางกระทรวงฯ ระบุว่า ยินดีให้ความร่วมมือกับตำรวจมาเลเซียอย่างเต็มที่ ในการตั้งทีมพิเศษเพื่อสืบสวนคดีของซารา และจะรายงานความคืบหน้าของคดีเป็นระยะ
ฟัดลีนา สิเด็ก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่าในนามของกระทรวงฯ เธอขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสียชีวิตของซารา ยืนยันว่าจะให้ความสำคัญกับคดีนี้เป็นลำดับต้นๆ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความจริงและความยุติธรรมจะปรากฏ
ที่มา :thestar, straitstimes, nst, scoop