การกลับเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หลังเจอกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตลอด 5 ปี
การกลับเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้งของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หลังเจอกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตลอด 5 ปี
จัดเป็นความสำเร็จของความพยายามพลิกฟื้นกิจการสายการบินแห่งชาติให้สามารถ กลับมาให้บริการคนไทยในประเทศ และนำนักเดินทางจากต่างประ เทศกลับเข้าสู่ประเทศไทยได้อีกครั้ง โดยเฉพาะการนำกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หายไปให้กลับคืนมายังประเทศไทยอีกครั้ง
ที่ผ่านมา แม้การบินไทยจะต้องเผชิญกับวิกฤติที่หนักหนาสาหัสถึงขั้นต้องเลือกตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เช่น ขายเครื่องบินดีๆไปมากกว่า 20 ลำ พร้อมที่ดิน และทรัพย์สินมีค่าอีกจำนวนมากในระหว่างการเข้าสู่กระบวนการพิทักษ์ทรัพย์ และการฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลางเมื่อเดือน ก.ย.ปี 2563
แต่ท้ายสุด การบินไทยก็สามารถออกจากแผนฟื้นฟูสำเร็จ และกลับเข้ามาเทรดในตลาดได้อีกครั้ง โดยมี “กระทรวงการคลัง” เป็นองค์หลัก และเจ้าหนี้คนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจใส่เงินเพิ่มทุนให้แก่การบินไทยมากกว่า 20,000 ล้านบาท ในช่วงเวลาที่ไม่มีสถาบันการเงินใดยอมให้เงินใหม่แก่การบินไทย
กระทรวงการคลัง โดย ปลัดกระทรวง ลวรณ แสงสนิท ยังตัดสินใจแบกรับภาระเกือบทั้งหมดของมูลค่าการเพิ่มทุนที่ส่งผลให้สัดส่วนของผู้ถือหุ้นการบินไทยเพิ่มขึ้นจาก 30,000 ล้านบาท เป็นกว่า 50,000 ล้านบาท
จนทำให้ส่วนของทุนมีความแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัวเพื่อรองรับการลงทุนที่จำเป็นในการพลิกฟื้นกิจการได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต เช่น การเพิ่มฝูงบินอีกราว 50 ลำ การวางแผนด้านการตลาดเพื่อรองรับการแข่งขันที่ดุเดือดในระยะยาว ตลอดจนถึงการเพิ่มสภาพคล่องการดำเนินธุรกิจการบิน
กระทรวงการคลังในยุคของปลัดลวรณยังมีบทบาทสำคัญในการดึงบุคลากรมืออาชีพรวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลังเข้ามาร่วมในการขับเคลื่อนการบินไทยให้กลับมาเป็นสายการบินที่ได้รับความนิยมจากนานาชาติ และความไว้วางใจจากคนไทยด้วยกันเองอีกครั้ง
แผนงานสำคัญที่ปลัดลวรณพูดถึงเสมอก็คือ การวางรากฐานธรรมาภิบาลที่จะทำให้การบินไทยเป็นองค์กรที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ลดความขัดแย้ง และเสริมสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศได้อีกครั้งเพื่อให้การบินไทยกลับมาเป็นสายการบินที่มีความโดดเด่นในสายตาชาวโลกได้อีกครั้ง
โดยเฉพาะในการสร้างรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ และการนำนักเดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยอีกปีละหลายสิบล้านคน
อย่างไรก็ตาม การจะทำให้กิจการของการบินไทยกลับมาแข็งแกร่งอย่างเดิมได้อีกครั้งเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องได้รับความร่วมมือจากบุคลากรภายในองค์กรของการบินไทยเอง ตลอดจนถึงพันธมิตรทางธุรกิจ และบรรดาผู้ถือหุ้นที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันนำพาการบินไทยไปถึงจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม ธรรมาภิบาลสำคัญก่อนจะไปทำเรื่องอื่นๆต่อไปก็คือ ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และ ชาญศิลป์ ตรีนุชกร ผู้บริหารแผนซึ่งเคยเป็นอดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่การบินไทย และผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ทั้งคู่จำเป็นต้องลาออกไป เมื่อการบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูแล้วตามกฎกติกา ไม่ใช่จะมาขอต่อรองเพื่ออยู่ต่อในตำแหน่งประธานบริหาร หรือบอร์ดการบินไทยอีก
ธุรกิจยุคใหม่จะอยู่รอดได้จริงๆต้องมีความโปร่งใส และธรรมาภิบาลเป็นหลัก.
มิสไฟน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม